เนื้อหาวันที่ : 2007-02-23 10:11:22 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1268 views

เทมาเส็ก ต้องการขายคืนชินคอร์ปยกแผง เล็งถอนทุนหนี้ทั้งหมด

ไอซีที ยอมรับกลุ่มเทมาเส็กต้องการขายคืนชิน คอร์ปทั้งกลุ่ม ไม่ใช่แค่ชินแซทฯ บริษัทเดียว คาด 3 เดือนได้ข้อสรุป เผยมีเอกชนอย่างน้อย 3 รายสนในยื่นขอสัมปทานดาวเทียม

ไอซีที ยอมรับกลุ่มเทมาเส็กต้องการขายคืนชิน คอร์ปทั้งกลุ่ม ไม่ใช่แค่ชินแซทฯ บริษัทเดียว คาด 3 เดือนได้ข้อสรุป เผยมีเอกชนอย่างน้อย 3 รายสนในยื่นขอสัมปทานดาวเทียม ขณะที่ในสัปดาห์หน้านัดประชุมคณะกรรมการสวบสวนข้อเท็จจริงนอมินีกุหลาบแก้ว

.

นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวยอมรับ กลุ่มเทมาเสก ต้องการขายหุ้นคืนจริง แต่ต้องการขายคืนทั้งหมด คือบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือเอไอเอส และชินแซทฯ แต่หากจะซื้อชินแซทฯ เพียงอย่างเดียวเทมาเส็กไม่ต้องการขาย  ดังนั้น การซื้อคืนเฉพาะชินแซทฯ ก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเทมาเส็กว่าจะขายหรือไม่ คาดว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือนจะได้ข้อสรุป ซึ่งเร็วกว่าแนวทางการยึดคืนสัมปทาน เพราะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี ส่วนการให้บริษัทเอกชนรายใหม่ยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรนั้น ขณะนี้มีเอกชน 3 ราย สนใจที่จะยื่นขอสัมปทานดาวเทียมกับกระทรวงไอซีที แต่ยังอยู่ระหว่างพิจารณา ยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้

.

นายสิทธิชัย กล่าวว่า สัปดาห์หน้าจะนัดประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาสัญญาสัมปทานดาวเทียมมาหารือถึงรายละเอียดของสัญญาสัมปทานดาวเทียมในประเด็นต่าง ๆ เพื่อเป็นข้อมูลในเชิงลึกในการทวงคืนดาวเทียมใน  2 ทางเลือก คือ การซื้อหุ้นคืนจากบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน)  หรือการยึดสัมปทานดาวเทียมคืน  ซึ่งต้องศึกษาให้รอบคอบว่าวิธีการใดจะดีที่สุดสำหรับประเทศไทย สำหรับเรื่องการสอบสวนว่าบริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด เป็นบริษัทต่างชาติหรือไม่  ขณะนี้ต้องรอข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ และหลังจากนั้นจะส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการต่อไป

.

การที่หลายฝ่ายเสนอว่าสามารถเอาสัมปทานคืนได้ การเสนอทำได้ง่าย แต่ในทางปฏิบัติทำยาก เพราะขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องกุหลาบแก้วว่าเป็นนอมินีหรือไม่ ทั้งเรื่องเส้นทางการเดินของเงินก็ไม่ชัดเจนต้องใช้เวลาในการตรวจสอบอีกนาน เรื่องการยึดคืนหรือซื้อคืนกิจการดาวเทียมไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะจะส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของประเทศ

.

ส่วนกรณีที่หลายคนมองว่าไม่สามารถเอาผิดเรื่องนอมินีได้ เนื่องจากบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีสัดส่วนการถือหุ้นเพียงร้อยละ 41.34 ซึ่งหากพิสูจน์ได้ว่าชินคอร์ป เป็นต่างชาติจริงก็ไม่ได้ส่งผลให้ ชินแซทฯ เป็นต่างชาติได้ เพราะสัดส่วนที่ชินคอร์ป ถือไม่เกินร้อยละ 49 นั้น เห็นว่าหากพิจารณากันอย่างแท้จริงจะเห็นว่าจากเดิมชินคอร์ป ถือหุ้นประมาณร้อยละ 51 ก่อนที่จะลดลงให้เหลือร้อยละ 41 ซึ่งกระบวนการปรับลดหุ้นดังกล่าวไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงอาจเป็นไปได้ว่าการลดสัดส่วนดังกล่าวอาจจะไม่มีผลในทางปฏิบัติก็ได้ ซึ่งก็ต้องรอผลการตรวจสอบของคณะกรรมการก่อน.