เนื้อหาวันที่ : 2007-02-07 09:34:34 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 904 views

อุตฯ สิ่งทอ ปีนี้แข่งดุ ชี้ตลาดโลกที่ไม่เติบโต เงินบาทไทยแข็งค่า

อุตสาหกรรมสิ่งทอในปี 2550 จะดุเดือดมากขึ้น เนื่องจากมีคู่แข่งที่ต้นทุนต่ำกว่า ประกอบกับตลาดโลกที่ไม่เติบโตเหมือนคาด เงินบาทที่แข็งค่า และมาตรการทางการค้า เอกชน ชี้! การเมืองไม่ชัดเจนเศรษฐกิจยิ่งทรุดหนัก กระทบภาคการส่งออก จีนและเวียดนามแซงหน้าไทยแล้ว

สำนักข่าวไทยรายงานข่ว สศอ.ระบุว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอในปี 2550 จะดุเดือดมากขึ้น เนื่องจากมีคู่แข่งที่ต้นทุนต่ำกว่า ประกอบกับตลาดโลกที่ไม่เติบโตเหมือนคาด เงินบาทที่แข็งค่า และมาตรการทางการค้า แต่ด้วยคุณภาพการผลิตและฝีมือของผู้ประกอบการไทยยังจะทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวขยายตัวได้มากกว่าปี 2549

.

นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยถึงภาพรวมอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มปี 2549 และแนวโน้มปี 2550 ว่า การแข่งขันในปี 2550 จะทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าจีนและเวียดนามจะยังสามารถผลิตสินค้าด้วยต้นทุนต่ำกว่า แต่คาดว่าปัจจัยลบจะมาจากการชะลอตัวในภาคการส่งออก เนื่องจากการชะลอตัวด้านเศรษฐกิจของตลาดหลัก การแข็งค่าของค่าเงินบาท และมาตรการทางการค้า แต่ไทยยังมีความได้เปรียบด้านคุณภาพการผลิตและฝีมือที่มีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก คาดว่าปัจจัยเหล่านี้จะสนับสนุนให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยขยายตัวได้มากกว่าปี 2549 อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวยังคงหวังให้เกิดการลงนามเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่าง ๆ เพื่อขยายการส่งออก

.

สำหรับปี 2549 โดยรวมมีการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2548 ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดโลกจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจใน 3 ประเทศที่เป็นตลาดหลักทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) และญี่ปุ่น ส่งผลให้ภาวะการผลิตและการจำหน่ายปี 2549 เมื่อพิจารณาจากดัชนีอุตสาหกรรมการผลิตเส้นใยสิ่งทอ และการผลิตผ้าที่ได้จากการถักนิตติ้งและโครเชต์ มีดัชนีผลผลิตชะลอตัวร้อยละ 5.3 และ 6.2 ตามลำดับ สอดคล้องกับการจำหน่ายที่ปรับตัวลดลง เช่นเดียวกันจากผลกระทบทั้งภายในและต่างประเทศเนื่องจากความมั่นใจของผู้บริโภค ประกอบกับการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น สำหรับการผลิตเครื่องแต่งกายมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 2550 เนื่องจากยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5.0

.

นอกจากนี้ ปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเส้นใยที่ต้องใช้วัสดุปิโตรเคมีนำเข้ามาผลิตมีต้นทุนสูงขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ เส้นด้าย ผ้าผืน และเครื่องนุ่งห่ม มีต้นทุนสูงขึ้นตามไปด้วย รวมทั้งยังมีปัญหาผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น การระงับการเจรจาเขตการค้าไทย-สหรัฐ และไทย-ญี่ปุ่น การนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นโดยมีการนำเข้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่มีต้นทุนการผลิตต่ำจากจีน เวียดนาม และอินเดีย สูงขึ้นถึงร้อยละ 36.1 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อยอดขาย ทำให้การขยายตัวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

.

นางอรรชกา กล่าวเพิ่มเติมว่า ความไม่ชัดเจนด้านการเมืองที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาคประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย หันไปเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาไม่แพงมากนัก และเหมาะกับกำลังซื้อที่มี การรับออเดอร์ใหม่ลูกค้าเริ่มชะลอการสั่งซื้อ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าอาจจะลดการนำเข้า หรือแม้แต่สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ที่ได้รับจากการส่งสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา สินค้าที่คาดว่าอ่อนไหวมากที่สุด ได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เนื่องจากไทยมีการส่งออกไปยัง 3 ประเทศหลัก ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 80 ของการส่งออกสิ่งทอทั้งหมด ซึ่งไทยได้รับสิทธิพิเศษ (GSP) ไปยังสหรัฐอเมริกามากที่สุดจากสินค้าไทยที่ได้รับ ซึ่งขณะนี้สหรัฐอเมริกากำลังพิจารณาทบทวนการต่ออายุ (GSP) ที่ให้แก่ประเทศคู่ค้ารวมทั้งประเทศไทย และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรจะหาตลาดรองรับเพื่อขยายฐานการส่งออกไปยังประเทศใหม่ ๆ เพื่อลดความเสี่ยง แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบหลายประการเริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น เช่น ราคาน้ำมันที่ออ่นตัวลง ความกังวลของภาคเอกชนต่อปัญหาทางการเมืองลดน้อยลง.