เนื้อหาวันที่ : 2010-03-05 09:54:35 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2149 views

กำไรบริษัทจดทะเบียนพุ่งแตะ 4.4 แสนล้าน เพิ่มขึ้น 42%

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ทำกำไรงวดปี 2552 รวมกันกว่า 4.4 แสนล้านบาท กลุ่มทรัพยากร ธุรกิจการเงิน และอสังหาฯ ทำกำไรสูงสุด

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ทำกำไรงวดปี 2552 รวมกัน 446,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน  42% และมียอดขายรวม 6,389,596 ล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกที่มียอดรวมกำไรสูงสุด คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

.

โดยมี  PTT SCC PTTEP BBL และ SCB เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก โดย ณ 3 มี.ค. 2553 บริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายปันผลแล้ว 291 บริษัทในอัตราเฉลี่ยสูงถึง 4%

.

นางภัทรียา  เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET)  และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 541 บริษัท หรือ 96% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 561 บริษัท (รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 26 กองทุน) ได้ส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 แล้ว  โดยมีกำไรสุทธิรวมกัน 446,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 313,707 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42%

.

สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET)  ที่ส่งงบการเงินประจำปี 2552 จำนวน 482 บริษัท (จากทั้งหมด 501 บริษัท) มีกำไรสุทธิรวม 444,288  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43%  เมื่อเทียบกับปี 2551  โดยมียอดขายรวม 6,339,785 ล้านบาท ลดลง 14% จากปี 2551

.

“ด้วยความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจ อีกทั้งความสามารถของผู้ประกอบการที่มีการปรับกลยุทธ์การบริหารงาน ทำให้ บริษัทจดทะเบียนโดยรวมมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 42% ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียน 291 บริษัท ประกาศจ่ายเงินปันผลสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2552 ด้วยอัตราเฉลี่ยสูงถึง 4% (ณ  3 มี.ค.2553)” นางภัทรียากล่าว

.

สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 ปี 2552 ของ SET  และ mai  มีกำไรสุทธิรวม 114,297 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 96,446 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น  219%

.

โดยส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มทรัพยากร  กลุ่มบริการ  และกลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิ 29,356 ล้านบาท 15,508 ล้านบาท และ 4,543 ล้านบาท  เนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

.

ส่วนบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 391,016  ล้านบาท คิดเป็น 88% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม เพิ่มขึ้น 46%  จากปีก่อน โดยมียอดขายลดลง16%  ขณะที่ต้นทุนขายลดลง 19 % ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จาก  16% จากปีก่อนเป็น 19%

.

สำหรับบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT)  บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย  (SCC) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP)  บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ  บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

.

ทั้งนี้ ภาพรวมของผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) (ที่นำส่งงบการเงินและไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) จำนวนรวม  461  บริษัท  มีกำไรสุทธิ 444,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 43%   สำหรับผลการดำเนินงานปี 2552 เรียงลำดับตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ดังนี้

.

1. กลุ่มทรัพยากร  ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ รวม 26 บริษัท  มีกำไรสุทธิ 158,547 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% จากปี 2551

.

2. กลุ่มธุรกิจการเงิน   ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต  มีกำไรสุทธิ 101,383 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2551  โดยไม่มีธนาคารใดที่มีผลขาดทุนสุทธิ ทั้งนี้ เฉพาะธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 91,312  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2551

.

ส่วนบริษัทในหมวดธุรกิจหลักทรัพย์ มีกำไรสุทธิรวม 2,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,789 ล้านบาทหรือ 290% จากการเพิ่มขึ้นของค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์สืบเนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันของปี 2552 ที่เพิ่มขึ้นถึง 13% จากปีก่อน

.

3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง   ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ส่งงบการเงิน 109 บริษัทจาก 116 บริษัท มีกำไรสุทธิ  68,240  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54 %  จากปี 2551

.

4. กลุ่มเทคโนโลยี   ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 37,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2551

.

5. กลุ่มบริการ   ประกอบด้วย หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ  หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดบริการเฉพาะกิจ หมวดพาณิชย์ และหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์  มีกำไรสุทธิ 35,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88% จากปี 2551

.

6. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร   ประกอบด้วย หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิ 29,622  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% จากปี 2551

.

7. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย หมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 6,948  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปี 2551

.

8. กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วย หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 6,170 ล้านบาท ลดลง 50% จากปี 2551 สาเหตุจากหมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักรมีผลขาดทุนสุทธิ 13,366 ล้านบาท