เนื้อหาวันที่ : 2010-02-04 11:44:05 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1182 views

เจโทร จี้ "อภิสิทธิ์" แก้ปัญหามาบตาพุด หวั่นกระทบการลงทุน

เจโทร เตรียมเผยผลสำรวจความมั่นใจเอกชนญี่ปุ่นที่ประกอบการในไทย หวังกระทุ้งรัฐบาลอภิประชานิยมเร่งแก้ปัญหามาบตาพุด สร้างความมั่นใจให้นักลงทุน

เจโทร เตรียมเผยผลสำรวจความมั่นใจเอกชนญี่ปุ่นที่ประกอบการในไทย หวังกระทุ้งรัฐบาลอภิประชานิยมเร่งแก้ปัญหามาบตาพุด สร้างความมั่นใจให้นักลงทุน

.

นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นากยกรัฐมนตรี

.

นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นากยกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังหารือกับนายมูเนะโนริ ยามาดะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ประจำกรุงเทพฯ (Japan External Trade Organization : JETRO) ว่า ทางเจโทรเตรียมจะเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของบริษัทที่ประกอบการในประเทศไทยในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ซึ่งได้เสนอการสำรวจทั้งในแง่ของความมั่นใจในเรื่องของการประกอบธุรกิจ อุปสรรคปัญหา และประเด็นพิเศษที่จะให้ความสำคัญแล้วแต่จังหวะเวลาของการสำรวจ

.

ส่วนเรื่องภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจเห็นสอดคล้องกันว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วต่อเนื่องมาและมีแนวโน้มที่จะขยายตัวที่ดีต่อไป

.

“อุปสรรคปัญหาการลงทุนทั้งหลายบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เราเห็นมาทุกปี เช่น ปัญหาเรื่องระบบศุลกากร ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังได้แก้ไขไปส่วนหนึ่งและกำลังจะมีการนำเสนอเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง  รวมไปถึงปัญหามาบตาพุดที่เขาหยิบยกขึ้นมาคุย ซึ่งตนก็ได้อธิบายให้เกิดความเข้าใจชัดเจนว่าประเด็นที่เกิดขึ้นไม่ใช่ประเด็นของนโยบายรัฐบาลแต่เป็นเรื่องของการตีความกฎหมาย

.

เพราะว่าสิ่งที่ภาคธุรกิจเขาจะเข้าใจได้ยากก็คือเสมือนกับว่ารัฐบาลอนุญาตให้เขาทำบางสิ่งบางอย่างไปแล้วต่อมากลับไม่ให้เขาทำ ก็อธิบายให้เขาฟังว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่รัฐบาลเปลี่ยนแปลงนโยบาย

.

แต่เป็นเรื่องของการตีความกฎหมายที่เราต้องเคารพความเห็นของศาล และขณะเดียวกันก็ได้อธิบายให้ทราบถึงแนวทางที่แก้ไขปัญหาอยู่ในขณะนี้  ซึ่งเขาก็บอกว่าเขาก็ดีใจที่ได้เห็นรัฐบาลให้ความสำคัญและใส่ใจในเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าการคลี่คลายเรื่องนี้เขาก็อยากเห็นเกิดขึ้นโดยเร็วเพราะว่าถ้าเนิ่นนานไปก็ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

.

พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้อธิบายถึงกระบวนการทางศาลของไทยเกี่ยวกับกรณีมาบตาพุดว่า ขณะนี้สิ่งที่เราจะร้องขอต่อศาลก็คือเรื่องของการก่อสร้าง ขณะเดียวกันกระบวนการที่จะไปทำตามมาตรา 67 วรรคสอง ก็มีระเบียบที่มารองรับชัดเจน ทั้งนี้ก่อนที่เจโทรจะเดินทางมาพบได้มีประธานและหัวหน้าคณะผู้บริหารบริษัท มารูเบนิ (ประเทศญี่ปุ่น) มาพบ            

.

ซึ่งบริษัทดังกล่าวยังต้องก่อสร้างอีก 12 เดือน เพราะฉะนั้นถ้าเขาสามารถก่อสร้างได้ แล้วระหว่างนี้ดำเนินการตามมาตรา 67 วรรคสอง ซึ่งอาจจะใช้เวลา 8-9 เดือน เขาก็จะไม่มีปัญหาเลย แต่ถ้ามันหยุดการก่อสร้างก็จะเป็นปัญหาในเรื่องของเงินทุน เรื่องของต้นทุนในการก่อสร้างและวางแผนทางธุรกิจ     

.

“อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องรับความเสี่ยง แต่ผมคิดว่าทุกคนพร้อมรับความเสี่ยงเพระว่าทุกคนค่อนข้างมั่นใจว่าธุรกิจของตัวเองไม่ได้มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสุขภาพในลักษณะที่จะประกอบการไม่ได้ อย่างมากที่สุดก็คือน่าจะเป็นในเรื่องของการประเมินออกมาแล้วว่าจะต้องมีมาตรการเพิ่มเติมในการดูแลบรรเทาสิ่งแวดล้อมหรือผลกระทบหรือไม่อย่างไร” นายกรัฐมนตรีกล่าว

.

ส่วนความเป็นห่วงว่าเงินทุนส่วนที่จะมาลงทุนในมาบตาพุดจะหายไปนั้น มั่นใจว่านักลงทุนญี่ปุ่นยังมองเห็นจุดแข็งของประเทศไทยหลายเรื่อง และฐานการผลติที่มีอยู่ รวมทั้งโอกาสในอาเซียนที่จะเปิดกว้างมากขึ้นและคงอยากจะใช้ฐานที่ประเทศไทย

.

ซึ่งคิดว่าปัญหามาบตาพุดเป็นปัญหาเฉพาะ ถ้าผ่านไปแล้วน่าจะทำให้ความห่วงใยในเรื่องอื่น ๆ ไม่น่าจะมาบดบังศักยภาพในการที่จะทำธุรกิจและจะถือโอกาสไปพูดอธิบายในงานสัมมนาของเจโทรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 และนายกรณ์  จากติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมจะเดินทางไปกับภาคเอกชนที่ประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่าน่าจะสร้างความมั่นใจได้

.

นายกรัฐมนตรี กล่าวเกี่ยวกับการแสดงความมั่นใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะถึงร้อยละ 4.7 ว่า ร้อยละ  4.7 เป็นอัตราที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ((IMF) เขาประมาณการสำหรับอาเซียน 5 ประเทศ ซึ่งตนคิดว่าเราควรจะอยู่ในระดับนั้นได้ ทั้งนี้มีการคุยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังก็เชื่อว่าเป็นไปได้    

.

ส่วนปัจจัยที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจถึงร้อยละ  4.7  นั้น นายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า ขณะนี้ในช่วง 2-3 เดือนแรกต้องบอกว่ากำลังซื้อของเกษตรกรมีส่วนสำคัญ ขณะเดียวกันการส่งออก การท่องเที่ยว ก็ยังขยายตัวในอัตราค่อนข้างจะดีอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งจุดหลักอยู่ที่ปลายปีว่าเราจะสามารถที่จะทำให้เอกชนเข้ามาลงทุนได้มากแค่ไหน เพราะว่าเราไม่อยากจะเห็นเอกชนเข้ามาเป็นตัวจักรสำหรับเรื่องเศรษฐกิจในระยะต่อไป

.

นอกจากนี้สัญญาณที่ดีคือการใช้กำลังการผลิตซึ่งตัวเลขล่าสุดเกินร้อยละ 70  แล้ว และบางอุตสาหกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ขึ้นถึงร้อยละ 80 กว่า เพราะฉะนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มเห็นการลงทุนเข้ามา และประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจที่ 3.5 นั้นเป็นการเผื่อไว้หากตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากปัญหามาบตาพุด

.
ที่มา : เว็บไซต์รัฐบาลไทย