เนื้อหาวันที่ : 2008-06-30 10:38:58 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 4580 views

ความรับผิดชอบของ Green Enterprise

ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเริ่มมีความตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากที่มีการผนวกกิจกรรมการบริหารสิ่งแวดล้อมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจ ผู้ประกอบการวิสาหกิจในปัจจุบันเริ่มเชื่อว่า การพัฒนาขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของความสำเร็จทางธุรกิจ

ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเริ่มมีความตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากที่มีการผนวกกิจกรรมการบริหารสิ่งแวดล้อมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจ ผู้ประกอบการวิสาหกิจในปัจจุบันเริ่มเชื่อว่า การพัฒนาขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของความสำเร็จทางธุรกิจ

.

องค์การที่มีขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมที่สูงส่งจะสามารถรับมือกับข้อกำหนด กฎหมาย หรือบทบัญญัติด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดกวดขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถประหยัดต้นทุนดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะต้นทุนพลังงาน และต้นทุนการบำบัดและควบคุมของเสีย ยิ่งกว่านั้น การพัฒนาขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กร ทำให้องค์กรได้รับการยอมรับจากชุมชน สังคม และผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้มองประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ

.

ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้องค์กรทางธุรกิจและอุตสาหกรรมจำนวนมากหันมาให้ความใสใจกับการพัฒนาขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จนเกิดเป็นกระแสนิยมที่เรียกว่า Going Green หรือกระแสนิยมในการปรับปรุงกิจกรรมทางธุรกิจให้มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีความพยายามในการสร้างภาพลักษณ์แห่งความเป็น Green Enterprise หรือ วิสาหกิจสีเขียว กันมากขึ้น  แต่อย่างไรก็ตาม ในความหมายของคำว่า วิสาหกิจสีเขียว ก็มีการตีความแตกต่างกันไปอย่างหลากหลาย

.

เช่น ในระดับทั่วไปที่เข้าใจกันก็คือ การเป็นองค์กรที่มีการบริหารสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ และมีความพยายามที่จะปรับปรุงกิจกรรมขององค์กรเพื่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยลงอย่างต่อเนื่อง หรือในแง่มุมที่ลึกซึ้งขึ้นอีกระดับก็มีการตีความไว้ว่า การก้าวสู่ความเป็นวิสาหกิจสีเขียวก็คือการเป็น พลเมืองดีด้านการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม (Environment Citizenship) ซึ่งหมายถึง การมีส่วนร่วมในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสังคมส่วนรวม ทั้งโดยการลดผลกระทบ (Minimize Environmental Impact) และการเพิ่มพูนคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Enhance Environmental Quality) ของสังคมให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

.

ด้วยมุมมองที่แตกต่างกันนี้ ทำให้การขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความเป็น วิสาหกิจสีเขียว มีความแปลกแยกแตกต่างกันเป็นหลายทิศทาง สุดแล้วแต่ว่าผู้นำองค์กรจะมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการเป็นวิสาหกิจสีเขียวอย่างไร ดังนั้น จึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่นักบริหารและสมาชิกทุกระดับในองค์กรจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นวิสาหกิจสีเขียวให้ถูกต้อง ชัดเจน และตรงกัน เพื่อให้การพัฒนาไปสู่เป้าหมายมีความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

.

ดังนั้น ในบทความนี้ผู้เขียนจึงขอหยิบยก แนวคิดของการเป็น วิสาหกิจสีเขียว มานำเสนอ โดยจะพิจารณาในแง่ของภาระความรับผิดชอบ ว่าวิสาหกิจสีเขียวที่แท้จริงนั้นมีหน้าที่อันพึงปฏิบัติอะไร รวมถึงประเด็นด้านกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการก้าวสู่ความเป็น วิสาหกิจสีเขียว ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ดังรายละเอียดต่อไปนี้

.
ความรับผิดชอบของวิสาหกิจสีเขียว

เนื่องจาก การแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมที่วิสาหกิจ หนึ่ง ๆ แสดงออก คือเครื่องบ่งชี้สำคัญที่จะบอกถึงภาวะความเป็นวิสาหกิจสีเขียวของวิสาหกิจนั้น ๆ ดังนั้น วิสาหกิจที่กำลังจะพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นวิสาหกิจสีเขียว จึงต้องทำความเข้าใจถึงความรับผิดชอบที่วิสาหกิจสีเขียวจะต้องแสดงออกให้ชัดเจนเป็นอันดับแรก ซึ่งโดยทั่วไปความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมของวิสาหกิจสีเขียวจะแบ่งออก 3 ระดับดังนี้

.
1.ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร

ถือเป็นความรับผิดชอบระดับมูลฐาน ที่ทุกองค์กร ทุกวิสาหกิจจะต้องปฏิบัติ เพราะสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรที่ดีถือเป็นปัจจัยพื้นฐานอย่าง หนึ่ง สำหรับการดำเนินกิจกรรมให้มีประสิทธิภาพ ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในองค์กรจะมุ่งให้ความสนใจที่สภาพอันเอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติงาน และความปลอดภัยต่อสุขภาพของพนักงาน เช่น คุณภาพอากาศในอาคาร อุณหภูมิที่พอเหมาะ เสียงที่ไม่อึกทึกและไม่ก่อให้เกิดความรำคาญต่อผู้ปฏิบัติงานภายในสถานประกอบการ ดังนั้น การแสดงความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อมภายในองค์กร จึงเกี่ยวข้องกับการจัดให้มีระบบการบริหารสิ่งแวดล้อม ชีวอนามัยและความปลอดภัยในองค์กร นั่นเอง

.
2.ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชน

ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชน ถือเป็นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบสถานประกอบการ โดยวิสาหกิจมีหน้าที่บำรุงรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติซึ่งเป็นทรัพยากรของชุมชนให้มีคุณภาพที่ดีอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้คนในชุมชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติโดยรอบชุมชน หนึ่ง ๆ อาจประกอบด้วยแหล่งน้ำ (หมายรวมทั้งแหล่งน้ำใต้ดินและผิวดิน) อากาศ ดิน ป่า และทุ่งหญ้า เป็นต้น

ซึ่งสถานประกอบการที่เข้าไปตั้งและดำเนินกิจการในชุมชนจะต้องแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของชุมชน โดยในเบื้องต้น วิสาหกิจจะต้องไม่ดำเนินกิจการอันก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมของชุมชน และในขณะเดียวกันก็ต้องร่วมมือกับชุมชนในการอนุรักษ์และปรับปรุงสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นให้มีคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง

ในการเข้าไปตั้งสถานประกอบการในชุมชนหนึ่ง ๆ วิสาหกิจสีเขียวจำเป็นต้องจัดให้มีการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอันอาจจะเกิดจากกิจการของตน โดยคำนึงถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีโอกาสทำให้สิ่งแวดล้อมของชุมชนเสื่อมโทรมลง เช่น ผลกระทบจากการใช้น้ำและการระบายน้ำเสีย การระบายไอเสียและไอระเหยของสารที่มีพิษ การก่อให้เกิดฝุ่นละออง การก่อให้เกิดกากของเสียที่มีอันตราย รวมถึงการก่อให้เกิดเสียงอึกทึก เป็นต้น

วิสาหกิจสีเขียวจะต้องจัดให้มีมาตรการสำหรับการลดความเสี่ยงเหล่านั้นอย่างเป็นรูปธรรม และมีการเฝ้าระวังติดตามอย่างต่อเนื่อง และต้องปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม เทศบัญญัติ หรือบทบัญญัติด้านสิ่งแวดล้อมของชุมชนอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้น ยังควรให้ความร่วมมือกับชุมชน ในการรณรงค์ ส่งเสริม และการปฏิบัติเพื่อการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของชุมชนให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย

ซึ่งแนวทางทั่วไปที่วิสาหกิจสีเขียวจะสามารถแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนก็คือ การจัดให้มีระบบบริหารสิ่งแวดล้อม (Environmental Management System) ขึ้นในองค์กร โดยการนำเอาข้อกำหนดของมาตรฐานสิ่งแวดล้อม รวมถึงข้อกำหนดของกฎหมายสิ่งแวดล้อม เทศบัญญัติ หรือบทบัญญัติด้านสิ่งแวดล้อมของชุมชน มาผสมผสานเป็นข้อกำหนดของระบบบริหารสิ่งแวดล้อม ที่องค์กรจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนนั่นเอง

.

3.ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของโลก

นอกจากความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนแล้ว วิสาหกิจสีเขียวที่แท้จริงยังต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมระดับมหภาค นั่นคือ สภาพแวดล้อมของโลก (Global Environment) ด้วย โดยเฉพาะการเข้าไปมีส่วนในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ๆ เช่น ปัญหาภาวะโลกร้อน วิกฤติการณ์น้ำ หรือประเด็นด้านการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ อันดับแรกวิสาหกิจสีเขียวจะต้องตระหนักว่าตน เป็นส่วน หนึ่ง ของระบบอุตสาหกรรม

ซึ่งเป็นระบบกิจกรรมขนาดใหญ่ที่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมแวดล้อมของโลกได้อย่างยิ่งยวด จนนำไปสู่วิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อมโลกที่ส่งผลกระทบวงกว้างได้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของโลก วิสาหกรรมจะต้องนำประเด็นสิ่งแวดล้อมโลกเข้าไปพิจาณาประกอบในการตัดสินใจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ทั้งในกิจกรรมประจำวันและการบริหารโครงการสำคัญต่าง ๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าวิสาหกิจยุคใหม่จะมีความตระหนักถึงความสำคัญของการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่กิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินโดยวิสาหกิจส่วนใหญ่ ยังคงถูกแยกส่วนออกจากกิจกรรมทางธุรกิจอย่างชัดเจน ทำให้บางครั้งก็เกิดภาวะขัดแย้งกันระหว่างกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมทางธุรกิจ โดยเฉพาะผลกำไรที่ลดลงเนื่องจากรายจ่ายด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น นักวิชาการบางกลุ่มจึงได้เสนอให้วิสาหกิจพิจารณาความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมบนมุมมองที่สัมพันธ์กับการดำเนินธุรกิจมากขึ้น โดยมุ่งความรับผิดชอบสำคัญ 2 ประการ อันได้แก่ ความรับผิดชอบต่อทุนสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อบริการของระบบนิเวศ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

.

4.ความรับผิดชอบต่อทุนสิ่งแวดล้อม

แนวคิดเกี่ยวกับ ทุนสิ่งแวดล้อม (Environmental Capital) เป็นการขยายแนวคิดที่เกี่ยวกับทุนสำหรับการดำเนินธุรกิจ โดยพิจารณาว่า การดำเนินธุรกิจ หนึ่ง ๆ ให้ประสบความสำเร็จ นอกจากทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Capital) อันได้แก่ เงิน ที่ดิน เครื่องจักรและแรงงานแล้ว ธุรกิจยังต้องพึ่งพา ทุนสิ่งแวดล้อม อันหมายถึงสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ

โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติชนิดต่างๆ อันประกอบด้วย สินแร่ พลังงาน อากาศ น้ำ และดิน เป็นต้น ซึ่งทรัพยากรเหล่านี้มีทั้งที่สามารถใช้ประโยชน์หมุนเวียนได้ (Renewable) และที่ไม่สามารถหมุนเวียนได้ (Non-renewable) ถ้าหากทุนสิ่งแวดล้อมไม่เพียงพอแล้ว ธุรกิจก็จะดำเนินให้ความสำเร็จได้ยาก ดังนั้น วิสาหกิจต่าง ๆ จึงมีหน้าที่ในการบริหารและบำรุงรักษาทุนสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์ให้เกิดประประสิทธิภาพและมีมูลค่าเพิ่มมากที่สุดเช่นเดียวกับการบริหารทุนทางเศรษฐศาสตร์

การบำรุงทุนสิ่งแวดล้อมถือเป็นการรักษาผลประโยชน์ขององค์กรโดยตรง เพราะถ้าหากทุนสิ่งแวดล้อมยังบริบูรณ์ ธุรกิจก็จะสามารถดำเนินต่อไปได้ในระยะยาว ในการบริหารทุนด้านสิ่งแวดล้อมนี้ องค์กรจะต้องปรับโฟกัสไปที่ทุนสิ่งแวดล้อมรายการหลัก ๆ ที่องค์กรผันมาใช้ประโยชน์ โดยบ่งชี้ให้ชัดเจนว่า ธุรกิจของตนได้นำทุนสิ่งแวดล้อมใดบ้างมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ และจึงวางแผนการใช้ประโยชน์จากทุนสิ่งแวดล้อมให้เกิดประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมน้ำดื่ม ซึ่งใช้น้ำเป็นวัตถุดิบในการแปรรูป น้ำจึงถือเป็นทุนสิ่งแวดล้อมชนิดหลักที่อุตสาหกรรมน้ำดื่มต้องแสดงความรับผิดชอบ และต้องพยายามบริหารจัดการให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนมากที่สุด อย่างนี้เป็นต้น  

.

5.ความรับผิดชอบในการใช้ประโยชน์จากบริการทางนิเวศ

ระบบนิเวศ (Ecosystem) เป็นระบบของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ ระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์จะก่อให้เกิดบริการที่เรียกว่า บริการของระบบนิเวศ (Ecosystem Services) ที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตสามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่น ระบบนิเวศของป่าเขตร้อนที่อุดมสมบูรณ์ทำให้เกิดการอุ้มความชื้นจนกลายเป็นต้นน้ำลำธาร  

ที่มนุษย์สามารถผันไปใช้ในการเพาะปลูกและประกอบกิจกรรมทางอุตสาหกรรมได้ ป่าไม้ขนาดใหญ่ยังก่อให้เกิดระบบการฟอกอากาศที่ช่วยให้มีอากาศบริสุทธ์สำหรับหายใจ ระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ยังก่อให้เกิดผลิตผลทางธรรมชาติที่มนุษย์สามารถนำมาใช้บริโภค หรือใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้  และที่สำคัญ ทุนสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการบริการของระบบนิเวศ นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ วิสาหกิจจึงต้องแสดงความรับผิดชอบในการใช้ประโยชน์จากบริการของระบบนิเวศด้วย โดยจะต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมในการใช้บริการทางนิเวศ วิสาหกิจจะต้องไม่ดำเนินกิจกรรมอันเป็นการทำลายบริการทางนิเวศใด ๆ ที่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลอื่น เช่น ไม่ดำเนินกิจการอันก่อให้เกิดการเสื่อมโทรมของป่าซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารและแหล่งฟอกอากาศของโลก หรือไม่ดำเนินกิจกรรมในลักษณะที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของโลก เป็นต้น

.

บริการของระบบนิเวศ (Ecolosystem Services) หมายถึง กลไกของระบบนิเวศที่ก่อให้เกิดผลิตผลที่มนุษย์รวมทั้งสิ่งมีชีวิตสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น อาหาร อากาศบริสุทธิ์ น้ำและความชุ่มชื้น เป็นต้น และมนุษย์ทุกคนสามารถเข้าใช้ประโยชน์ในบริการของระบบนิเวศอย่างเท่าเทียม

.

ความท้าทายสำหรับวิสาหกิจสีเขียว

เมื่อการเป็น วิสาหกิจสีเขียว หมายถึงการแสดงความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการมีความลังเลว่า การเป็น วิสาหกิจสีเขียว จะเป็นการบั่นทอนขีดความสามารถทางการแข่งกันโดยภาพรวมขององค์กรหรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้  Michael E. Porter อธิบายว่า ภายใต้สภาวะกดดันจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นอย่างในปัจจุบัน วิสาหกิจทั้งหลายต่างก็ถูกกดดันให้แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ดังนั้น ธุรกิจที่สามารถแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนวัตกรรม ก็จะมีขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจที่เหนือกว่า

.

จากคำอธิบายนี้ Porter มองว่า การก่อมลภาวะ คือ ความด้อยประสิทธิภาพ (Pollutant = Inefficiency) และ การลดมลภาวะคือการเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เนื่องจากการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต้องใช้ความพยายามและงบประมาณ ฉะนั้น วิธีที่จะช่วยให้การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมเกิดผลในเชิงบวกมากที่สุดก็คือ การสร้างนวัตกรรมใหม่ ทั้งนวัตกรรมด้านการบริหารจัดการ นวัตกรรมด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ฉะนั้นจึงหมายความว่า วิสาหกิจสีเขียว จะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนวัตกรรม จึงจะสามารถรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันเอาไว้ได้

.

ในการปรับปรุงขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีนวัตกรรม วิสาหกิจจำเป็นจะต้องมีการนำเอาองค์ความรู้ หลักการ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่อง (รูปที่ 1) และมีการติดตามผลและวัดระดับขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และกระบวนการอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ วิสาหกิจควรเป็นฝ่ายริเริ่มกิจกรรมด้านการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม (Proactive) แทนที่จะเป็นฝ่ายสนองนโยบาย (Reactive) เพียงอย่างเดียว

.

 

รูปที่ 1 ลำดับการปรับปรุงสู่ความเป็นวิสาหกิจสีเขียว

.

จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นจะเห็นได้ว่า การเป็นวิสาหกิจสีเขียว หรือวิสาหกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมนั้น มิได้หมายถึงการปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายถึงเฉพาะวิสาหกิจที่มีระบบบริหารสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลเท่านั้น หากแต่หมายถึง องค์กรที่มีค่านิยมที่ชัดเจนในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม มีความตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถแสดงออก

.

ซึ่งความรับผิดชอบดังกล่าวนั้นอย่างเป็นรูปธรรม และครบถ้วนทุกระดับ ตั้งแต่ ความรับผิดชอบสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร สิ่งแวดล้อมของชุมชน และสภาพแวดล้อมของโลก โดยมีการนำเอาประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไปพิจารณาประกอบในการตัดสินใจ มีการปรับเปลี่ยนวิถีปฏิบัติในกิจกรรมหรือหน้าที่ทางธุรกิจต่าง ๆ ให้มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง การแสดงออกเหล่านี้เองที่สะท้อนภาพลักษณ์ของการเป็นวิสาหกิจสีเขียวสีเขียว อย่างแท้จริง

.
เอกสารอ้างอิง
  • King, A.A. and Lenox, M.J. (2001) Does It Really Pay to Be Green?-An Empirical Study of Firm Environmental and Financial Performance. Journal of Industrial Ecology 5(1): 105-116
  • Porter, M.E. and van der Linde, C. (1995) Green and Competitive: Ending the Stalemate. Harvard Business Review September-October: 120-134
  • Hart, S.L. (1997) Beyond greening: strategies for a sustainable world. Harvard Business Review January-February: 66-76
  • Amine, L.S. (2003) An integrated micro- and macrolevel discussion of global green issues: ‘‘It isn’t easy being green’’. Journal of International Management 9: 373–393
  • สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 www.thailandindustry.com
    Copyright (C) 2009 www.thailandindustry.com All rights reserved.

    ขอสงวนสิทธิ์ ข้อมูล เนื้อหา บทความ และรูปภาพ (ในส่วนที่ทำขึ้นเอง) ทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ www.thailandindustry.com ห้ามมิให้บุคคลใด คัดลอก หรือ ทำสำเนา หรือ ดัดแปลง ข้อความหรือบทความใดๆ ของเว็บไซต์ หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด