เนื้อหาวันที่ : 2016-09-08 17:48:23 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1850 views

แนวโน้ม 5 ประการของเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยโดยการระบุอัตลักษณ์บุคคล (Secure Identity)

Alex Tan
ผู้อำนวยการด้านการขาย Physical Access Control System ของ HID Global แห่งภูมิภาคอาเซียน

 

ในโลกยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และสินค้าอุปโภคบริโภคเข้ามาบรรจบกัน ในที่ต่าง ๆ เราจะมองเห็นผู้คนใช้อุปกรณ์พกพาอัจฉริยะกันแทบทุกคน โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนและแทบเลต และเริ่มมีบางคนที่มีอุปกรณ์สวมใส่ที่มีความอัจฉริยะเพิ่มเข้ามา อย่างเช่น นาฬิกาอัจฉริยะ (Smartwatch) กำไลข้อมือสุขภาพ แว่นตา เป็นต้น ต่อไปน่าจะมี เสื้อผ้า เข็มขัด รองเท้า และอื่น ๆ อีกมากมายที่ค่อย ๆ ทยอยกันออกสู่ท้องตลาด คาดว่าพอถึงปี ค.ศ.2025 (พ.ศ.2568) ตลาดอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะทั่วโลกจะมีมูลค่าพุ่งทะยานไปถึง 170.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5.8 ล้านล้านบาทที่อัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์) สิ่งที่ต้องกังวลตามมาคือความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล (data privacy)  ความยาวนานและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ รวมทั้งราคาที่แพงมาก

HID Global ผู้นำระดับโลกในด้านการพัฒนาโซลูชันทางด้านความปลอดภัยโดยการระบุอัตลักษณ์บุคคล ได้ทำการสำรวจข้อมูลเชิงลึกกับลูกค้าในตลาดสำคัญทั่วโลก โดยครอบคลุมตลาดองค์กรขนาดใหญ่ สถานพยาบาล สถาบันทางการเงินและองค์กรรัฐบาล พบแนวโน้มสำคัญ 5 ประการตามรายละเอียดข้างล่าง ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของตลาดที่มีความต้องการอุปกรณ์พกพา (mobility) มากขึ้น และต้องการนำอุปกรณ์ทั้งหมดเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ต (Internet of Things) ลูกค้าให้น้ำหนักกับการเชื่อมต่อเข้าระบบอย่างไม่สะดุดโดยใช้การระบุอัตลักษณ์บุคคลเชิงดิจิทัลที่น่าเชื่อถือ (trusted digital identities) พร้อมทั้งมีระบบการป้องกันความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว (privacy) ที่สูง

แนวโน้มที่ 1 ผู้ใช้ต้องการใช้อุปกรณ์พกพาเพียงอันเดียว ที่สามารถทำงานได้หลายอย่างมากขึ้นเรื่อย ๆ (all in one) โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนที่ทุกคนมีและต้องพกไปทุกที่ทุกเวลา

คนยุคปัจจุบันใช้ชีวิตกับอุปกรณ์ดิจิทัล (Digital Lifestyles) มากขึ้น ต้องการการเชื่อมต่อเข้าอินเตอร์เน็ตตลอดเวลาและอยากได้ประสบการณ์การใช้งานที่มีความปลอดภัยสูง  พัฒนาการของเทคโนโลยีที่เราน่าจะเห็นในอนาคต คือการพัฒนาเรื่องความปลอดภัยในการเข้าสู่ระบบต่าง ๆ โดยการระบุอัตลักษณ์บุคคลผ่านอุปกรณ์พกพาซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นทุกคนมีใช้กันในทุกที่ทุกเวลา

อย่างเช่นในอาคาร CityPoint ในมหานครลอนดอน พนักงานรักษาความปลอดภัยสามารถใช้สมาร์ทโฟนของตนเป็นเสมือนเครื่องอ่าน NFC (Near Field Communication) เพียงการแตะสมาร์โฟนของตนไปที่บัตร RFID เขาสามารถ

ตรวจสอบการเข้าออกของคนที่ถือบัตรนั้น และตรวจสอบตัวตนของบุคคลคนนั้น ณ จุดตรวจได้เลย สมาร์ทโฟนกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางของการต่อเชื่อมส่วนบุคคลและถูกเรียกร้องให้สามารถทำงานได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพิ่มจากอุปกรณ์แสดงอัตลักษณ์บุคคลไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้อ่านค่าต่าง ๆ อย่างเอนกประสงค์อีกด้วย

แนวโน้มที่ 2 ผู้ใช้ต้องการมีประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีขึ้น และปลอดภัยขึ้น

ผู้ใช้ต้องการประสบการณ์ในการใช้งานที่สามารถเข้าถึงบริการและแอฟพลิชันต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้นแต่ยังคงมีความปลอดภัยสูง ประสบการณ์ของผู้ใช้แบบนี้ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสูงสุดหนึ่งในสองอันดับต้น ๆ ที่ผู้ใช้ทั่วโลกต้องการให้มีในการพัฒนาบนระบบการรักษาความปลอดภัยในการเข้าออกอาคารโดยใช้อุปกรณ์พกพาในระยะ 3 ปีข้างหน้านี้ตามการศึกษาของ Frost & Sullivan Asia-Pacific

การใช้ข้อมูลทางชีวภาพของบุคคล (biometrics) น่าจะเป็นทิศทางในการพัฒนาโดยนำเข้ามาใช้กับเรื่องความปลอดภัย ในประเทศบราซิล สถาบันการเงินชั้นนำ 4 ใน 5 แห่งได้ใช้เทคโนโลยีที่ตรวจสอบข้อมูลทางชีวภาพของบุคคลนี้เพื่อให้ลูกค้าทำธุรกรรมทางการเงินกว่าสองพันล้านรายการต่อปีได้อย่างปลอดภัยบนเครื่องเอทีเอ็มของตน ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีหลายโครงการของรัฐบาลในภูมิภาคนี้ที่ต้องการใช้เทคโนโลยีข้อมูลชีวภาพของบุคคลเช่นกันและการที่ประชาชนทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่ใช้เงินสดกันมากขึ้น ผลักดันให้ตลาดสมาร์ตการ์ดและเครื่องอ่านลายนิ้วมือเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะถึง 8.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ( 3 แสนล้านบาท) ในปี ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565)

แนวโน้มประการที่ 3 มีการใช้อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งต้องการเชื่อมเข้าสู่อินเตอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีความต้องการการระบุอัตลักษณ์บุคคลเชิงดิจิทัลที่เชื่อถือได้ (Trusted Digital Identities) ในทุก ๆ การเชื่อมเข้าสู่ระบบต่าง ๆ

อุตสาหกรรมอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะจะเติบโตสูงมากและมีการใช้ตัวเซ็นเซอร์เพื่อตรวจวัดและส่งข้อมูลเชื่อมต่อเข้าอินเตอร์เน็ต เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการเร่งประสิทธิภาพของพนักงาน ตรวจสอบทรัพย์สิน ใช้เพื่อประหยัดพลังงานและความปลอดภัยของพนักงาน

แนวโน้มการพัฒนาแบบนี้ทำให้การทำงานกับดิจิทัลกลายเป็นเรื่องส่วนบุคคล มีบริบทและมีคุณค่าเป็นส่วนตัว และเปิดทางให้มีการพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่แบบใหม่ ๆ ให้มีความเป็นอัจฉริยะขึ้นเพื่อเชื่อมต่อกับเครื่องอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ได้

แนวโน้มที่ 4 มีต้องการให้โซลูชั่นทางด้านความปลอดภัยและป้องกันความเป็นส่วนตัวที่ฝังอยู่ในทุก ๆ อุปกรณ์

Gartner คาดการณ์ว่าในแต่ละวันของปีนี้จะมีอุปกรณ์ต่าง ๆ กว่า 5.5 ล้านชิ้นเพิ่มเข้ามาเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต ทำให้มีความต้องการเทคโนโลยีทางด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวให้ฝังอยู่ในอุปกรณ์เหล่านี้มากขึ้นทั่วไปในตลาดต่าง ๆ ทั้งในด้านการชำระเงิน ตลาดการขนส่ง อุตสาหกรรม การอุปโภคบริโภคและการรักษาสุขภาพ เห็นได้จากตัวอย่างของ อาคาร CityPoint การที่จะบรรลุเป้าหมายสร้างความปลอดภัยให้ทุกสรรพสิ่ง (Security of Things) ทำได้เพียงใช้บัตร RFID ที่สามารถอ่านได้ง่ายด้วยการแตะกับสมาร์ทโฟน

ตลาดการอ่านข้อมูลทางชีวภาพของบุคคลเพื่อระบุอัตลักษณ์ยังคงมีบทบาทที่สำคัญมากในการปกป้องความปลอดภัยในโลกที่มีการเชื่อมต่อมากขึ้น อุปกรณ์อ่านลายนิ้วมือเป็นเครื่องอ่านข้อมูลเชิงชีวภาพของบุคคลตัวหนึ่งที่สามารถเข้ารหัสได้อย่างชาญฉลาดและทนทานการงัดแงะซึ่งสนองแนวโน้มนี้จึงมีการเติบโตที่สูงในปัจจุบัน

แนวโน้มที่ 5 การปรับปรุงนโยบายความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้ปฏิบัติตามให้ทันสมัยและการนำตัวอย่างความสำเร็จชั้นเลิศขององค์กรอื่นมาปรับใช้ มีความสำคัญพอ ๆ กับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

ในอุตสาหกรรมความปลอดภัยยังคงมุ่งเน้นไปที่การมองหาเทคโนโลยีอะไรที่จะนำมาใช้และปรับใช้อย่างไร อย่างเช่น การที่สหรัฐอเมริกาจะนำอุปกรณ์มือถือมาใช้แสดงแทนใบขับขี่ จะต้องมีการสร้างระบบการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน องค์กรที่ดูแลจะต้องทำให้สามารถใช้งานได้ง่ายและขณะเดียวกันต้องป้องกันข้อมูลส่วนตัวได้อย่างรอบด้าน

ยิ่งกว่าการมุ่งมองหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อป้องกันความปลอดภัยขององค์กร องค์กรต่าง ๆ ควรจะมองหาตัวอย่างความสำเร็จชั้นเลิศขององค์กรอื่นเพื่อมาปรับใช้ในระบบป้องกันความปลอดภัยทั้งระบบของตน ตัวอย่างความสำเร็จชั้นเลิศและนโยบายความปลอดภัยที่ประสบความสำเร็จมีความสำคัญพอ ๆ กันหรือยิ่งกว่าการใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำหน้าในยุคที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้องค์กรทุกองค์กรเป็นองค์กรเสมือน (virtually any organization)

 

ถ้าท่านต้องการข้อมูลในเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของความปลอดภัยโดยการระบุอัตลักษณ์บุคคล สามารถปรึกษาผู้บริหารของ HID Global โดยติดต่อคุณ Kraeng Tangchotika  Senior Sales Manager-PACS, Thailand and IndoChina  มือถือ +6689 455 0807 หรือ e-mail: ktangchotika@hidglobal.com

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 www.thailandindustry.com
Copyright (C) 2009 www.thailandindustry.com All rights reserved.

ขอสงวนสิทธิ์ ข้อมูล เนื้อหา บทความ และรูปภาพ (ในส่วนที่ทำขึ้นเอง) ทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ www.thailandindustry.com ห้ามมิให้บุคคลใด คัดลอก หรือ ทำสำเนา หรือ ดัดแปลง ข้อความหรือบทความใดๆ ของเว็บไซต์ หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด