เนื้อหาวันที่ : 2010-05-27 13:37:58 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 3685 views

พื้นฐานการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ

บิลค่าไฟฟ้าจากการไฟฟ้ามักจะเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินการหลักของงานอุตสาหกรรม เพื่อลดค่าไฟฟ้าที่จ่ายในแต่ละเดือนในของผู้ใช้ไฟฟ้า การประหยัดพลังงานหรือค่าไฟฟ้านั้นจึงมีความซับซ้อนมากกว่าเพียงการปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น จำนวนเงินที่ประหยัดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้นมาจากการวางแผนการประหยัดพลังงาน และปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

พิชิต จินตโกศลวิทย์
pichitor@yahoo.com

.

.

บิลค่าไฟฟ้าจากการไฟฟ้ามักจะเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินการหลักของงานอุตสาหกรรม เพื่อลดค่าไฟฟ้าที่จ่ายในแต่ละเดือนในของผู้ใช้ไฟฟ้า การประหยัดพลังงานหรือค่าไฟฟ้านั้นจึงมีความซับซ้อนมากกว่าเพียงการปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น จำนวนเงินที่ประหยัดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้นมาจากการวางแผนการประหยัดพลังงาน และปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม การลดค่าไฟฟ้าได้ 20% ไม่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นอยู่บนรูปแบบ และความพยายามในการประหยัดพลังงาน

.
4 ปัจจัยหลักที่ใช้ในการประเมินค่าไฟฟ้ามีดังต่อไปนี้

• การใช้พลังงาน (Energy Usage)
• ความต้องการพลังงานสูงสุด (Peak Demand)
• โหลดแฟกเตอร์ (Load Factor)
• เพาเวอร์แฟกเตอร์ (Power Factor)
ปัจจัยเหล่านี้สามารถควบคุมจัดการได้ขอบเขตของผู้ใช้ไฟฟ้า และมีส่วนในการคิดอัตราค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้า

.

การใช้พลังงาน

จำนวนหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) สามารถถูกทำให้ลดลงได้ง่าย ๆ โดยปิดโหลดทางไฟฟ้า เช่น เครื่องทำความร้อน, เครื่องปรับอากาศ,ไฟส่องสว่าง และอุปกรณ์ไฟฟ้าสำนักงาน เมื่อมันไม่มีจำเป็นต้องใช้ การติดตั้งไทเมอร์ (Timer), เซลล์วัดแสง หรือโฟโต้เซลล์ (Photocells) หรือ การใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมจัดการพลังงานสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในแต่ละเดือนลง 

.

รวมทั้งการใช้กราฟแสดงปริมาณการลดของไฟฟ้าเป็นตัวกระตุ้นการประหยัดพลังงาน โดยหลักการอาจจะตั้งการลดการใช้พลังงานไว้ที่ 3%-5% ต่อเดือนและใช้กราฟแสดงผลลัพธ์ การกระตุ้นสามัญสำนึกของพนักงานในการใช้พลังงานก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น

.

เป็นที่แน่ชัดว่าการลดระยะเวลาการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินไฟมาก การตั้งค่าตัวเทอร์โมสแตต (Thermostats) ในระดับที่เหมาะสม การคอยปิดอุปกรณ์สำนักงานในระหว่างเวลากลางคืน หรือหลังเลิกงาน และการหลีกเลี่ยงให้แสงสว่างมากเกินไปทั้งภายในและภายนอกอาคารจะทำให้ปริมาณการใช้พลังงานลดลงแต่ก็ไม่ชัดเจนเนื่องจากอาจเป็นเพียงโหลดส่วนน้อย

.

แม้ว่ามาตรการประหยัดพลังงานควรดำเนินการในทุกพื้นที่ แต่พื้นที่ต้องดูแลเอาใจมากที่สุด คือพื้นที่ที่ใช้ปริมาณพลังงานที่ใหญ่ที่สุด เช่น พื้นที่ที่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่ อุปกรณ์และกระบวนการอบแห้งซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก จึงควรให้ความสนใจกับอุปกรณ์ หรือเครื่องจักรเหล่านั้น โดยพิจารณาดังต่อไปนี้

.

• การหาวิธีการใช้ความร้อนที่ทิ้งจากเครื่องจักรที่โรงงานเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ เช่น ในกรณีเครื่องสร้างความร้อนแบบคลื่นแม่เหล็กสามารถใช้ความร้อนที่เหลือทิ้งจากกระบวนการอุตสาหกรรมมาทำน้ำอุ่น

.

• การหาที่ปรึกษาที่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศ และระบบทำความร้อน เพื่อทำให้ระบบมีประสิทธิภาพสูงสุด ตัวอย่างเช่น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ถูกวิธี

.

• การตรวจสอบการตั้งค่าเทอร์โมสแตตอย่างสม่ำเสมอ และติดตั้งตัวควบคุมเวลาการทำงานของอินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสม
• การตรวจสอบโฟโต้เซลล์ว่าทำงานถูกต้องเป็นประจำ โดยเฉพาะภายนอกอาคาร
• การตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานอุปกรณ์ว่าอยู่ในระดับเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งการเปลี่ยนอุปกรณ์ หรือการออกแบบระบบใหม่อาจจะคุ้มค่าในการลงทุน

.

ประสิทธิภาพของโหลดไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์เมนเฟรม, ทรานสมิตเตอร์ หรือเครื่องทำความร้อนอุตสาหกรรมแบบคลื่นแม่เหล็ก เป็นรายการที่สำคัญในการประหยัดพลังงาน ความเชื่อถือได้ของระบบ ณ ปัจจุบันมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

.

การบริหารจัดการโรงงานที่ดีจะตรวจพบเวลาที่ต้องการการปรับปรุง หรือการหาระบบใหม่แทนที่ระบบเก่าเพื่อการประหยัดพลังงานในขณะเดียวกัน ก็ได้ระบบงานที่ดีกว่า เสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาน้อยกว่า

.

สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ วิศวกรไฟฟ้าสมควรต้องรู้จักรูปแบบการให้บริการไฟฟ้าของการไฟฟ้า และเลือกใช้บริการที่เหมาะสม โรงงานที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณมากและกระบวนการผลิตต้องการความเชื่อถือได้สูง การเปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าที่ซื้อจากแรงดันจำหน่าย (เช่น 24 kV) ไปเป็นแรงดันส่ง (เช่น 69 kV) อาจจะทำให้ลดค่าไฟเป็นปริมาณมาก

.

รวมทั้งได้ระดับความเชื่อถือของระบบไฟฟ้าสูงขึ้น อันเนื่องจากแรงดันส่งจะมีระดับความเชื่อถือได้สูงกว่า และถูกกว่าแรงดันระดับจำหน่าย แต่อย่างไรก็ตามต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้งหม้อแปลงกำลัง รวมถึงค่าบำรุงรักษา ซึ่งวิศวกรไฟฟ้าของโรงงานต้องวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย และหาจุดคุ้มทุนให้รัดกุม

.

 อีกประการที่อาจลดค่าไฟฟ้าได้คือการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแต่วิธีการนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง โดยเฉพาะในกรณีที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าชำรุดอันจะทำให้ค่าใช้จ่ายในระบบไฟฟ้าสูงกว่าการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าอันเนื่องจากไม่มีการกระจายค่าบำรุงรักษาเหมือนการไฟฟ้า

.

ความต้องการพลังงานสูงสุด

การประหยัดพลังงานเป็นส่วนหนึ่งของการลดค่าไฟฟ้า แต่ไม่ได้เป็นทั้งหมด ความต้องการพลังงานสูงสุดของโหลดก็เป็นเงื่อนไขสำคัญในการคำนวณค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าและส่งผลถึงผู้ใช้ไฟฟ้า ตัวเลขความต้องการสูงสุดเป็นตัวชี้วัดโหลดสูงสุดในระบบของการไฟฟ้า หน่วยการวัดอาจเป็น kW หรือ kVA โดยจะวัดพร้อมระยะเวลาที่ใช้อยู่ช่วง 15-60 นาที แต่โดยส่วนใหญ่การไฟฟ้าจะใช้หน่วยค่าไฟเป็น kWhr รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างการเปลี่ยนค่าความต้องการพลังงานสูงสุด

.

ถ้าหากผู้ใช้ไฟฟ้า หรือโรงงานดำเนินการใช้พลังงานระดับเดียวกันตลอดทั้งวัน การไฟฟ้าก็สามารถคาดการณ์ความต้องการของโหลดได้อย่างถูกต้องแล้วก็จัดหาขนาดอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้า หรือสำรองไฟฟ้าสำหรับเพียงเฉพาะปริมาณพลังงานที่ต้องการจริง อย่างไรก็ตามตัวอย่างที่แสดงในรูปที่ 1 การไฟฟ้าต้องการขนาดอุปกรณ์ และสำรองพลังงานตามความต้องการสูงสุดซึ่งต้องใช้การลงทุนที่สูง

.

พื้นที่ระหว่างความต้องการสูงสุดและใช้พลังงานที่ใช้งานจริงเป็นพื้นที่ไร้ประสิทธิภาพ (Inefficiency) ที่อาจเป็นตัวบังคับให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของการไฟฟ้าพยายามประหยัดพลังงาน หรือวางแผนการใช้ไฟฟ้า เนื่องจากการไฟฟ้าจะคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าตามการลงทุน และตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าสำรอง ส่งผลให้ผู้ใช้หลายใหญ่ได้รับผลกระทบจากค่าไฟฟ้า

.

รูปที่ 1 กราฟแสดงการใช้พลังงาน (Load Profile)

.

วิธีการโหลดเชดดิ้ง (Load Shedding) หรือการปลดโหลดทิ้งแบ่งเป็นสองมุมมอง (การไฟฟ้า และผู้ใช้ไฟฟ้า) ในมุมมองของการไฟฟ้าคือวิธีการการตัดระดับความต้องการไฟฟ้าสูงสุดที่เกินความสามารถในการจ่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าซึ่งป้องกันการเกิดสภาวะแบล็กเอาต์ (Blackout) ส่วนในมุมมองของผู้ใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่

.

เป้าหมายของโหลดเชดดิ้ง คือการจัดตารางการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นเพื่อให้โหลดไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเสถียรมากขึ้นส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าถูกลงทั้งทางตรงและทางอ้อม การทำงานของโหลดไฟฟ้าบางชนิดสามารถสร้างกำหนดเวลาการทำงานใหม่เป็นการถาวรเพื่อลดความต้องการสูงสุดในระหว่างวัน รูปที่ 2 แสดงผลการปลดโหลดทิ้ง

.

รูปที่ 2 ตัวอย่างการทำโหลดเชดดิ้งของผู้ใช้ไฟฟ้าทำให้ระดับไฟฟ้าเสถียรขึ้น

.

การจัดการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้ระดับความต้องการสูงสุดลดลง และค่าความเบี่ยงเบนเฉลี่ยต่ำลง ความพยายามในการลดความต้องการสูงสุดควรครอบคลุมการทำงานของโรงงานทุกส่วน ไม่ฉลาดเลยถ้าจะทำการทดสอบสินค้า หรืออุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูง และไม่จำเป็นมากนักในช่วงบ่ายของฤดูร้อนซึ่งเครื่องปรับอากาศอาจจะกำลังทำงานเต็มกำลัง

.

ช่วงเวลาเช้าหรือเย็นจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เมื่อเครื่องปรับอากาศถูกปิด หรือไม่มีความต้องการใช้อุปกรณ์สำนักงาน การดำเนินการหรือการใช้งานแต่ละอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือระบบงานนั้นไม่ซ้ำกันต้องมีการประเมินการจัดการอย่างเหมาะสม

.

การใช้ระบบควบคุมการใช้ไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ จะทำให้การจัดการการใช้พลังงานไฟฟ้ามีประสิทธิภาพส่งผลต่อระดับความต้องการสูงสุด ระบบควบคุมที่ดีสามารถวิเคราะห์ทางเลือกที่มีอยู่ และปลดโหลดได้ตามต้องการเพื่อรักษาความต้องการพลังงานให้คงที่ ระบบควบคุมจะมีการโปรแกรมให้รับรู้ลำดับความสำคัญของโหลด และโหลดที่ไม่จำเป็น

.

ระดับความต้องการไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าจะถูกปรับเปลี่ยนอย่างอัตโนมัติตามตารางอัตราค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้า หลายระบบควบคุมยังให้โปรไฟล์ความต้องการพลังงานของผู้ใช้ไฟฟ้า เพื่อช่วยวิเคราะห์และลดค่าไฟฟ้า

.

สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หรือผู้ใช้รายใหญ่ วิศวกรไฟฟ้า หรือผู้ใช้สมควรต้องรู้จักอัตราและวิธีการคิดค่าไฟฟ้าในแต่รูปแบบการบริการ สำหรับประเทศอัตราค่าไฟฟ้ามีทั้งแบบคงที่ และไม่คงที่ตามช่วงเวลา ผู้ใช้ควรคำนวณและเลือกการบริการให้เหมาะสม ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถขอได้จากการไฟฟ้าที่ท่านใช้บริการอยู่

.
โหลดแฟกเตอร์

โหลดแฟกเตอร์เป็นค่าที่ใช้โดยการไฟฟ้าซึ่งคำนวณมาจากความต้องการพลังงานสูงสุด และการใช้พลังงาน โดยทั่วไปมักจะถูกคำนวณ และนำไปใช้ในการเรียกเก็บเงินผู้ใช้ไฟฟ้า ดังนั้นทั้งการลดความต้องการสูงสุด หรือลดระดับการใช้พลังงานจะลดค่าไฟฟ้าที่ชาร์จจากโหลดแฟกเตอร์ส่งผลทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลง

.

การเพิ่มค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ก็มีส่วนในการลดค่าชาร์จโหลดแฟกเตอร์ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าถูกลงเช่นกัน ดังนั้นการลดการใช้พลังงานของผู้ใช้พลังงานไฟฟ้าเสมือนลดค่าใช้จ่ายสองต่อในระยะยาว

.

เพาเวอร์แฟกเตอร์

เพาเวอร์แฟกเตอร์เป็นผลจากโหลดประเภทอินดักทีฟหนัก ๆ ส่งผลต่อระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้า ค่าเพาเวอร์ที่แย่จะส่งผลให้เกิดความสูญเสียในหลายแง่ (ความสูญเสียความร้อน, การดรอปของแรงดัน, ความสามารถในการขายไฟฟ้า เป็นต้น )บนสายป้อนของการไฟฟ้า

.

เพราะว่ามีความต้องการกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในการจ่ายพลังงานให้กับโหลดที่มีค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ต่ำ การเก็บค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์คือค่าปรับที่ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องจ่ายสำหรับปริมาณกระแสพิเศษให้อินดักทีฟโหลด เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า

.

โดยทั่วไปแล้วกระแสแมกนีไทซ์ของอินดักทีฟโหลดจะไม่ปรากฏในวัตต์มิเตอร์ แต่อย่างไรก็ตามจะมีการตั้งมิเตอร์พิเศษเพื่อเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ไฟฟ้า เช่น วารีมิเตอร์ ค่าปรับเนื่องจากเพาเวอร์แฟกเตอร์จะอาจส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทำการปรับปรุงค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์โดยใช้คาปาซิเตอร์ และทำให้ระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงขึ้นส่งผลไม่ต้องลงทุนขยายความสามารถในการจ่ายไฟฟ้า

.
สรุป

การใช้พลังงานอย่างถูกต้อง และประหยัดจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของผู้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งส่งผลให้การไฟฟ้าไม่ต้องลงทุนในระบบไฟฟ้าจำนวนมาก ทำให้ประเทศสามารถใช้งบประมาณในการพัฒนาส่วนอื่น ๆ ในแง่ของอนาคตการประหยัดพลังงานยังชะลอการเกิดสภาวะโลกร้อน และลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อชีวิตลูกหลานของเราในอนาคต

.

เอกสารอ้างอิง

1. J.C Whitaker, AC Power Systems Handbook. CRC Press, Florida, 2007

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 www.thailandindustry.com
Copyright (C) 2009 www.thailandindustry.com All rights reserved.

ขอสงวนสิทธิ์ ข้อมูล เนื้อหา บทความ และรูปภาพ (ในส่วนที่ทำขึ้นเอง) ทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ www.thailandindustry.com ห้ามมิให้บุคคลใด คัดลอก หรือ ทำสำเนา หรือ ดัดแปลง ข้อความหรือบทความใดๆ ของเว็บไซต์ หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด