เรื่องทั่วไป

สมรภูมิ High Tech Hardware ตอนที่ 5

ไพโรจน์ ไววานิชกิจ

 

 

 

 

พบกับเหล่าขบวนฮาร์ดแวร์ไฮเทค ที่เก่าไปใหม่มา และแนวโน้มของการเติบโตทางธุรกิจในวงการฮาร์ดแวร์

  

          การเติบโตของนวัตกรรมอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในแวดวงต่างๆ ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์มีความสะดวกสบายขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการเกิดขึ้นควบคู่กับการขยายตัวของเครือข่ายสื่อสารไร้สายทั้งเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และเครือข่าย Wi-Fi ไปจนถึงการเติบโตของวงจรสื่อสารบรอดแบนด์ที่เข้าถึงบ้านพักอาศัยหรืออาคารสำนักงานต่างๆ ทั่วโลก บทความในตอนนี้จะกล่าวต่อไปถึงนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ละประเภทในหลากหลายแวดวงอุตสาหกรรมซึ่งล้วนแล้วแต่ย้อนกลับมาถึงการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคทั่วโลก

 

 

อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ด้านสุขภาพ

 

          วงการสุขภาพ (Personal Health) ถือเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีการเติบโตในแง่ของเม็ดเงินอย่างมหาศาล อันเนื่องมาจากความอยู่ดีกินดีของผู้คนในเมือง ทำให้เริ่มมีฐานะในการให้ความสนใจกับความเป็นอยู่ นั่นคือปัจจัยผลักดันทางด้านกำลังบริโภคของผู้คนทั่วไป ทางด้านของวงการการแพทย์เอง โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วโลกก็ให้ความสำคัญกับการสร้างโซลูชั่นที่เป็น Wearable Device หรืออุปกรณ์ตรวจจับข้อมูลทางกายภาพ เช่น ระดับความดันเลือด อุณหภูมิ การเต้นของชีพจร ฯลฯ สำหรับผู้ป่วยซึ่งไม่ได้มีอาการร้ายแรงถึงขั้นต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล จะได้เป็นการจัดสมดุลระหว่างห้องพักหรือพื้นที่รักษาตัวและตรวจสุขภาพของผู้คนที่มีจำกัดภายในพื้นที่ของโรงพยาบาล กับจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้าพักรักษาตัวจริงๆ การตรวจสอบสภาพทางกายภาพของผู้ป่วยที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องเข้าพักรักษาตัว โดยผ่านทางอุปกรณ์ Wearable Device หรืออุปกรณ์ตรวจจับอื่นๆ ด้วยการใช้เครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมเป็นตัวกลาง กลายเป็นทางเลือกใหม่ของการรักษาพยาบาลในปัจจุบัน ต้นทุนที่ถูกลงของอุปกรณ์เซนเซอร์ ขณะที่คุณภาพและความเที่ยงตรงของเซนเซอร์มีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งการเชื่อมต่อระหว่างเซนเซอร์กับอุปกรณ์ Smart Phone เพื่อส่งต่อข้อมูลผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่มายัง Cloud Computing หรือระบบเครือข่ายประมวลผลของโรงพยาบาลทำได้อย่างง่ายๆ จึงทำให้วงการสุขภาพให้ความสำคัญกับการผลักดันการเติบโตของอุปกรณ์เซนเซอร์เหล่านี้เป็นวงกว้าง ในราคาที่ไม่แพงสำหรับผู้บริโภค หรืออาจจะเกิดแบบจำลองทางธุรกิจ (Business Model) ที่โรงพยาบาลเป็นผู้ลงทุนในอุปกรณ์ Wearable Device นี้เองแล้วคิดค่าบริการเพิ่มในราคาไม่แพงไปกับผู้ป่วย

 

          รูปที่ 1 เป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ Wearable Device และอุปกรณ์จับข้อมูลทางกายภาพที่เป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2558 อุปกรณ์ชิ้นแรกที่ขอกล่าวถึงคือ SCiO เป็นอุปกรณ์ที่ย่อขนาดของ Spectrometer ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั่วไป ทำหน้าที่ส่งสัญญาณคลื่นความถี่ไปสะท้อนยังวัตถุต่างๆ เช่น ผลไม้ ยาง พลาสติก ร่างกาย ฯลฯ แล้วทำการวัดการสะท้อนกลับของคลื่นความถี่จากวัตถุนั้นๆ การสะท้อนกลับของคลื่นความถี่จะมีการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบย่านความถี่ย่อยๆ เนื่องจากคุณสมบัติการดูดกลืนและสะท้อนกลับคลื่นความถี่ของโมเลกุลของวัตถุแต่ละประเภท เมื่อสามารถย่อขนาดของอุปกรณ์ Spectrometer ให้มีขนาดเล็กจิ๋วและติดตั้งในอุปกรณ์ SCiO ได้ ผู้บริโภคก็สามารถนำอุปกรณ์ SCiO ไปจ่อยังวัตถุต่างๆ เพื่อวิเคราะห์รายละเอียดของวัตถุนั้นโดยส่งข้อมูลการตรวจจับการสะท้อนของสเปกตรัมความถี่จากวัตถุแต่ละประเภทผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smart Phone เพื่อให้เชื่อมต่อไปยังระบบ Cloud Computing ของผู้ให้บริการ ทำให้เกิดการประยุกต์ใช้งานได้ตั้งแต่เรื่องของการวิเคราะห์ระดับแคลอรี่ของอาหารที่จะรับประทานเข้าไปด้วยการยิงคลื่นความถี่จากอุปกรณ์ SCiO เข้าไปทำการตรวจสอบ ไปจนถึงการนำไปทดลองตรวจสอบวัตถุต่างๆ แม้กระทั่งการยิงคลื่นความถี่เพื่อตรวจสอบผิวหนังของตนเอง เป็นการส่งเสริมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ผู้จำหน่ายและให้บริการอุปกรณ์ SCiO ยังสามารถต่อยอดการให้บริการไปในแวดวงอื่นๆ นอกเหนือจากการทดสอบประเภทของอาหารอีกด้วย SCiO ประสบความสำเร็จอย่างมากในการขอระดมเงินลงทุน เห็นได้จากการตั้งเป้าว่าจะขอระดมทุนให้ได้เงิน 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐผ่านเครือข่าย Crown Funding อย่าง Kickstart  ซึ่งเมื่อถึงเวลาปิดการระดมทุน กลับได้เงินสนับสนุนจากทั่วโลกมากถึง 14.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นในผลการประกอบการและยอดขายของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจากนักลงทุนได้เป็นอย่างดี ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อไปที่ https://www.consumerphysics.com/myscio/ และ  https://www.youtube.com/watch?v=2C83tbuBmWY

 

 

          ผลิตภัณฑ์ประเภทที่สองคือ Scout ผลิตโดยบริษัท Scanadu เป็นอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กที่ทำหน้าที่วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ระดับอุณหภูมิของผิวหนังและร่างกาย ค่า SpO2 (OxyMetry) อัตราการหายใจ ความดันเลือด ระดับการเต้นของหัวใจ และระดับความเครียด โดยใช้หลักการส่งผ่านคลื่นความถี่วิทยุผ่านทางอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่ด้านข้างของผลิตภัณฑ์ คลื่นความถี่วิทยุจะถูกส่งผ่านร่างกายจากทางด้านหน้าผากของผู้ใช้งานไปสู่หัวใจและวกกลับมายังแขนของผู้ใช้งานที่ถืออุปกรณ์ Scout และจะแพร่กระจายจนครบวงจรมายังนิ้วที่กดหน้าสัมผัสด้านบนเครื่อง Scout เป็นการส่งสัญญาณแบบครบลูปการสื่อสารด้วยการใช้ร่างกายของมนุษย์เป็นวงจรไฟฟ้านั่นเอง หากเปรียบเทียบความสนใจของนักลงทุนเทียบกับผลิตภัณฑ์ SCiO แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า Scout กินขาดด้วยยอดเงินระดมทุนสนับสนุนที่สูงกว่าเป้าหมายที่บริษัท Scanadu ผู้ผลิตตั้งเป้าไว้ที่ 1.7 ล้านเหรียญ ขึ้นไปเป็นยอดปิดที่สูงถึง 14.1 ล้านเหรียญหรือมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ถึง 8.29 เท่า โดยเป็นการประกาศระดมเงินลงทุนผ่านทางเครือข่าย Indiegogo ซึ่งเป็น Crown Funding อีกรายหนึ่ง ผู้อ่านสามารถดูคลิปวิดีโอแนะนำผลิตภัณฑ์ได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=V6b-bd3KMDw

 

 

          ผลิตภัณฑ์ Clarity เป็นอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กที่ออกแบบให้แสดงสีที่สัมพันธ์กับระดับคุณภาพของอากาศ โดยตัวผลิตภัณฑ์จะมีเซนเซอร์ที่วัดระดับคุณภาพโดยตรวจสอบปริมาณฝุ่นละอองของอากาศรอบๆ ข้าง แล้วทำการแสดงผลผ่านหลอด LED ที่ติดตั้งไว้กับตัว พร้อมกับยังส่งสัญญาณข้อมูลไปยังอุปกรณ์ Smart Phone ที่ทำการเชื่อมต่อ (Pair) ไว้ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถทำการตั้งค่าดูประวัติการเดินทาง เช่น การวิ่งออกกำลัง การขี่จักรยาน ว่าผ่านพื้นที่ที่มีระดับความเข้มข้นของฝุ่นละอองมากน้อยเพียงใด นอกจากนั้นระบบประมวลผลบน Cloud Computing ของ Clarity ยังรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้งานและพกพาอุปกรณ์ Clarity ในพื้นที่ๆ ต่างๆ มาใช้เพื่อแสดงผลระดับของคุณภาพอากาศในพื้นที่ต่างๆ ในลักษณะเดียวกันกับที่ Google ดึงข้อมูลอัตราเร็วในการเคลื่อนที่บนท้องถนนจากผู้ใช้งาน Smart Phone แต่ละรายมาประมวลผลการติดขัดของการจราจรในถนนแต่ละเส้นแล้วนำมาแสดงผลให้กับผู้ใช้บริการแต่ละราย สามารถศึกษาข้อมูลการแนะนำผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=TRgjG43xw_c

 

 

          สำหรับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่แสดงในรูปที่ 1 ไม่ว่าจะเป็น Darma ซึ่งเป็นที่นั่งเพื่อสุขภาพโดยมีการทำงานร่วมกับแอพพลิเคชันเพื่อแสดงผลรูปแบบการนั่งที่ถูกสุขลักษณะ รวมถึงวัดระดับการเต้นของหัวใจ http://darma.co/ คลิปวิดีโอที่ https://www.youtube.com/watch?v=pGUJrn0f1Cs

 

     

          ผลิตภัณฑ์ June จากบริษัท Netatmo กำไลข้อมือที่ติดตั้งเซนเซอร์วัดระดับความเข้มของรังสี UV จากแสงอาทิตย์พร้อมทั้งทำงานร่วมกับแอพพลิเคชันบนอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smart Phone เพื่อแสดงผล ได้รับการสนับสนุนเงินระดมทุนสูงถึง 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.youtube.com/watch?v=5U-5rgbnNuE

 

 

          กับผลิตภัณฑ์ Wink โดยบริษัท Kindara ทำหน้าที่ตรวจจับอุณหภูมิของร่างกายผ่านทางเซนเซอร์ แล้วส่งข้อมูลบันทึกใน Cloud Computing โดยมีการประมวลผลทางแอพพลิเคชันบน Smart Phone เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของการตั้งครรภ์และป้องกันปัญหาต่างๆ จากการตั้งครรภ์ ผู้อ่านสามารถข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้ที่เว็บไซต์ https://kindara.com/wink และคลิปวิดีโอแสดงรายละเอียดการใช้งานที่ https://www.youtube.com/watch?v=47mvygsKo_Q 

 

 

          ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เหล่านี้สามารถหาซื้อและใช้งานได้โดยผู้บริโภคทั่วไปในราคาที่ไม่แพง และยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการก่อกำเนิดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอีกมากมายในอนาคต

 

 

 

รูปที่ 1 อุปกรณ์เซนเซอร์ที่ทำหน้าที่ตรวจจับข้อมูลทางกายภาพและสุขภาพของผู้บริโภค

 

 

ผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ 3 มิติ

 

          เครื่องพิมพ์ 3 มิติ หรือ 3D Printing เพิ่มบทบาทของตนเองจากการเป็นอุปกรณ์สำหรับสร้างโมเดลจำลองแบบง่ายๆ กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนและมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันถึงขั้นสามารถสร้างชิ้นส่วนของเครื่องจักรกล หรือแม้กระทั่งอาคารบ้านเรือน หัวใจสำคัญที่สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถก็คือการรองรับรองรับสารที่ใช้สร้างวัตถุต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้นจากในยุคแรกเริ่มที่ใช้ได้แต่สารที่เป็นพลาสติกเพียงอย่างเดียว เป็นที่ชัดเจนว่าเครื่องพิมพ์ 3 มิติจะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์หลากหลายประเภท เทคโนโลยีที่ใช้สำหรับการพิมพ์ 3 มิติในปัจจุบันมีอยู่ 2 ประเภทคือ

 

          1. FDM (Fused Deposition Modelling)   มีหลักการทำงานโดยใช้ความร้อนในการผลักดันใยมวลสารพลาสติกให้ขึ้นรูปเป็นรูปทรงต่างๆ

 

          2. SLA (Stereolithography)   ใช้ลำแสงเลเซอร์ทำหน้าที่ปรับแต่งรูปทรงของเรซิ่นที่ใช้เป็นวัสดุสร้างชิ้นงาน รายละเอียดดังแสดงในรูปที่ 2

  

 

 

รูปที่ 2 แนวทางการขึ้นรูปชิ้นงานของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ

 

 

          พัฒนาการของเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติในปัจจุบันมีผลทำให้เกิดการพัฒนาใหม่ๆ ทั้งในส่วนของเครื่องพิมพ์เอง ในแง่ของเครื่องพิมพ์ที่มีราคาถูกลง และยังมีการผลิตเครื่องพิมพ์พกพาได้ที่มีลักษณะเป็นปากกา ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป ทำให้เกิดแพลตฟอร์มการทำงานพิมพ์ที่สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ใดก็ได้ และที่สำคัญก็คือจะเป็นการผลักดันให้เกิดการคิดค้นสร้างวัสดุใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่เกิดจากส่วนผสมของสารหลากชนิด (Multi-Material) สำหรับงานพิมพ์ 3 มิติ วัสดุที่รองรับการพิมพ์หลายสี (Multi-Color Print) รวมถึงการพัฒนาไปสู่การสร้างชิ้นส่วนของบ้านด้วยการพิมพ์ 3 มิติ

 

          รูปที่ 3 เป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ 3 มิติที่ใช้เทคโนโลยี FDM ที่มีการคิดค้นสร้างขึ้นโดยบริษัทหรือผู้ประกอบการ Startup และแต่ละรายก็มีการเรียกระดมทุนผ่านทางเครือข่าย Crown Funding บางรายก็ได้รับเงินระดมทุนมากขึ้นอยู่กับการนำเสนอแนวคิดในการทำงานและการทำตลาด เริ่มตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ Makerbot Replicator ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่สามารถติดต่อสื่อสารกับแอพพลิเคชันบน Smart Phone และประสานเชื่อมต่อไปยังระบบประมวลผลบนเครือข่าย Cloud Computing สามารถสร้างชิ้นงานได้หลากหลาย โดยมีราคาขายต่อเครื่องที่ 2,899 เหรียญสหรัฐ สิ่งที่ Makerbot ประสบความสำเร็จกับผลิตภัณฑ์ Replicator ก็คือการได้รับความสนใจซื้อผลิตภัณฑ์ไปเป็นของบริษัท Stratasys ด้วยราคาที่สูงถึง 403 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความเชื่อมั่นในตำแหน่งทางการตลาดที่สามารถสร้างรายได้กลับคืนมาอย่างคุ้มทุนของผลิตภัณฑ์ Replicator เป็นอย่างดี รายละเอียดเพิ่มเติมติดตามได้จากเว็บไซต์ http://www.makerbot.com/  และติดตามคลิปแสดงการทำงานของเครื่องได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=EomLOykZhms

 

 

 

 

 

รูปที่ 3 หลากหลายผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่ใช้เทคโนโลยี FDM

 

  

          ผลิตภัณฑ์ชิ้นต่อมาคือ Buccaneer ที่สามารถเรียกระดมเงินลงทุนจากเครือข่าย Kickstarter ได้ถึง 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ 3 มิติที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Private 3D ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ Startup จากประเทศสิงคโปร์ แม้จะประสบความสำเร็จในการระดมทุน แต่โครงการดังกล่าวก็พบกับปัญหาในเรื่องของความล่าช้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าว่าจะมีการส่งผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้เมื่อใด หลักการทำงานของเครื่องพิมพ์ก็คือการใช้แอพพลิเคชันบนอุปกรณ์ Smart Phone ทำการออกแบบและสั่งให้เครื่องพิมพ์สร้างชิ้นงาน 3 มิติขึ้นมา มีการตั้งราคาเครื่องพิมพ์ไว้ที่ 1,099 เหรียญสหรัฐในช่วงของการสั่งล็อตแรก ปัจจุบันราคาบนเว็บไซต์ของ Buccaneer มีราคาที่ลดลงมาเป็น 588 เหรียญสหรัฐ (http://shop.pirate3d.com/)  รับชมคลิปสาธิตการทำงานของผลิตภัณฑ์ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=43UaLZtov_8

 

 

          เครื่องพิมพ์ 3 มิติอีกชิ้นหนึ่งที่ได้รับความสนใจและได้เงินระดมทุนมากขึ้น 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐคือผลิตภัณฑ์ Micro ซึ่งได้รับการออกแบบและผลิตขึ้นมาโดยเน้นความเที่ยงตรงของการพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Micro Motion Sensor Chip ทำหน้าที่คำนวณหาตำแหน่งของหัวพิมพ์และป้อนกลับไปยังระบบควบคุม เพื่อรับประกันความแม่นยำของการวางตำแหน่งพิมพ์ แกนพิมพ์ที่ทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์ มีน้ำหนักเบา และทำให้การเคลื่อนไหวของหัวฉีดเป็นไปอย่างคล่องตัว การเลือกใช้ระบบทำความร้อนของวัสดุพิมพ์ที่ทำมาจากเซรามิกมาตรฐานเดียวกับที่ใช้ในยานอวกาศ ทำให้การป้อนวัสดุพิมพ์เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว และแม่นยำ มีระบบปรับตำแหน่งอัตโนมัติ (Multi-Calibration System) ทำให้ไม่ต้องนำเครื่องไปเข้ารับการตรวจบำรุงรักษาใดๆ โดยในปัจจุบันมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 349 เหรียญสหรัฐ มีผลิตภัณฑ์ให้เลือก 7 สี 7 แบบ สามารถใช้งานได้ทั้งในเชิงพาณิชย์ การศึกษา และความบันเทิง ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่ http://printm3d.com/  สำหรับคลิปวิดีโอนำเสนอสินค้าติดตามได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=8mm0g1WWUJc

  

 

 

 

รูปที่ 4 ผลิตภัณฑ์ปากกา 3 มิติที่ใช้เทคโนโลยีแบบ FDM

 

 

          นอกจากผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของเครื่องพิมพ์แล้ว ตลาดอุตสาหกรรมในปัจจุบันยังมีการผลิตปากกา 3 มิติที่ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แบบ FDM ออกมาจำหน่าย ซึ่งในประเทศไทยก็มีการวางจำหน่ายกันแล้ว รูปที่ 4 เป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ปากกา 3 มิติที่สามารถนำไปใช้สร้างแบบจำลองหรือแม้กระทั่งสินค้าในเชิงพาณิชย์ได้ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่จะขอกล่าวถึงอันดับแรกก็คือ 3Doodler (เว็บไซต์ http://the3doodler.com/) มีไส้หมึกที่เป็นพลาสติกให้เลือกถึง 80 สี ราคาจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ที่ 99 เหรียญสหรัฐ นับเป็นผลิตภัณฑ์ปากกา 3 มิติรายแรกของโลก มีการจัดทำระบบสนับสนุนการนำไปใช้งานในหลายวงการ ตั้งแต่แบบจำลอง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องบินบังคับ การซ่อมแซมอุปกรณ์พลาสติกที่สึกหรอภายในบ้าน ไปจนกระทั่งงานศิลปะ โดยที่ไม่ต้องใช้การเชื่อมต่อปากกกา 3Doodler กับระบบคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ Smart Phone ใดๆ ปัจจุบันมีการผลิตปากการุ่น 3Doodler 2.0 ซึ่งมีน้ำหนักเบาลงกว่ารุ่นแรกครึ่งหนึ่ง และขนาดเล็กลงกว่ารุ่นแรกถึง 1 ใน 4 โดยในรุ่นใหม่นี้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมความเร็วในการพ่นหมึกและปรับระดับอุณหภูมิความร้อนของการอุ่นหมึกได้ตามต้องการ และยังมีปุ่มสั่งการให้ปากกาพ่นหมึกได้อย่างต่อเนื่อง ติตตามชมตัวอย่างคลิปวิดีโอการใช้งานได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=emUlHFWcHck อีกทั้งยังมีการผลิตอุปกรณ์เสริม (Accessories) สำหรับใช้งานอีกหลายรายการ เช่น JetPack ที่ทำหน้าที่เป็นแบตเตอรี่พกพาสำหรับใช้งานนอกสถานที่ นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถทำการดาวน์โหลด Stencil หรือตัวอย่างลายฉลุที่เป็นรูปแบบมาตรฐานต่างๆ สำหรับใช้งานเป็นแบบเริ่มต้นได้ฟรีจากเว็บไซต์ของผู้ผลิต

 

 

          ผลิตภัณฑ์ชิ้นต่อมาคือ Lix เป็นปากกา 3 มิติที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก สามารถเชื่อมต่อเพื่อดึงกระแสไฟทำงานจากพอร์ต USB ของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กทั่วๆ ไป เหมาะกับการออกแบบงานด้านศิลปะและแฟชั่นต่างๆ ไปจนถึงแบบจำลองทั่วๆ ไป โดยมีราคาจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ที่ 139.95 เหรียญสหรัฐในปัจจุบัน ผู้สนใจสามารถเข้าชมรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ได้ที่เว็บไซต์ http://lixpen.com/ และรับชมคลิปวิดีโอสาธิตผลิตภัณฑ์ที่ https://www.youtube.com/watch?v=22UYpso02T4

 

 

           สำหรับผลิตภัณฑ์ชิ้นที่ 3 คือ CreoPop เป็นผลิตภัณฑ์จากนักผลิตประเทศสิงคโปร์ ใช้นวัตกรรมใหม่โดยการนำพลาสติกที่สามารถทำปฏิกิริยาขึ้นเมื่อถูกแสงอัลตราไวโอเลต (Ultra Violet) มาใช้เป็นสารสร้างชิ้นงาน จึงออกแบบปากกาให้มีที่ปล่อยลำแสงอัลตราไวโอเลตออกมาในขณะที่ผู้ใช้งานกดปุ่มปล่อยพลาสติกออกมา ทำให้พลาสติกสามารถขึ้นรูปได้อย่างรวดเร็ว จุดขายของปากกา 3 มิติจาก CreoPop ก็คือหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนและกลิ่นเหม็นที่เกิดจากการเผาหรือหล่อหลอมพลาลสติกดังที่เกิดขึ้นกับปากกา 3 มิติทั่วๆ ไป ราคาจำหน่ายบนเว็บไซต์ในปัจจุบันคือ 129.99 เหรียญสหรัฐ โดยผู้ซื้อจะได้ปากกา CreoPop หนึ่งด้านพร้อมกับหมึก 3 แท่ง ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.creopop.com/ และรับชมคลิปวิดีโอแนะนำผลิตภัณฑ์ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=yAENmlubXqA

 

 

 

 

รูปที่ 5 เครื่องพิมพ์ 3 มิติสายพันธุ์ใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี SLA

 

 

          รูปที่ 5 เป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่ใช้เทคโนโลยี SLA ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นกล่องปิด โดยใช้แสงเลเซอร์เป็นตัวกัดและแต่งรูปของเรซิ่นเพื่อให้เป็นชิ้นงานที่ต้องการ ผลิตภัณ์ชิ้นแรกก็คือ Form 1+ ซึ่งผลิตขึ้นโดยบริษัท FormLabs ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนผ่านทางเครือข่ายการลงทุน Kickstarter เป็นมูลค่าถึง 2.9 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีความสามารถในการสร้างชิ้นงานที่มีความละเอียดในการพิมพ์เล็กสุด 300 ไมครอน และผลิตชิ้นงานที่มีความหนาของเลเยอร์ในช่วง 25 – 200 ไมครอน ขนาดของชิ้นงานที่สามารถสร้างได้คือ 125 x 125 x 165 มิลลิเมตร โดยในปัจจุบันมีการตั้งราคาสินค้าผ่านทางหน้าเว็บไซต์มีราคาเริ่มต้นที่ 2,799 เหรียญสหรัฐ สามารถทำงานได้ในสภาวะแวดล้อมที่อุณหภูมิ 18 – 28 องศาเซลเซียส ใช้มาตรฐานเลเซอร์ EN 60825-1:2007 Class 1 Laser Product เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่สั่งการด้วยพอร์ต USB ศึกษารายละเอียดของผลิตภัณฑ์ได้จากเว็บไซต์http://formlabs.com/products/3d-printers/form-1-plus/ และชมคลิปวิดีโอสาธิตผลิตภัณฑ์ได้ที่  (https://www.youtube.com/watch?v=aYr1_Trp-hM)

 

 

          ผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์แบบ SLA ชิ้นที่สองคือ Ember ผลิตโดยบริษัท AutoDesk ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ ทำให้ไม่ต้องการการระดุมทุนผ่านเครือข่าย Crown Funding รายละเอียดผลิตภัณฑ์ติดตามได้ที่ https://ember.autodesk.com/ มีความละเอียดในการพิมพ์ 50 ไมครอน ความหนาของเลเยอร์ 10-100 ไมครอน และสามารถสร้างชิ้นงานได้ด้วยขนาดใหญ่สุดคือ 64 x 40 x 134 มิลลิเมตร เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบเป็นระบบเปิด กล่าวคือเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาสามารถใช้เรซิ่นที่คุณภาพทัดเทียมกับของที่บริษัทผลิตขึ้น สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยตนเองเพื่อทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของ Ember ในฟังก์ชั่นเฉพาะกิจที่ตนต้องการ โดยที่ AutoDesk มิได้ปิดกั้นการเข้าถึงฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ผลิตภัณฑ์ Ember สำเร็จรูปมีจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ด้วยราคา 7,495 เหรียญสหรัฐ ซึ่งแม้จะสูงกว่า Form 1+ มาก แต่ก็แลกมาด้วยความละเอียดของการพิมพ์ และการเปิดกว้างให้เป็นระบบ  Open Platform ติดตามชมคลิปวิดีโอแนะนำผลิตภัณฑ์ได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=3p9xnjGKCT0

 

 

          สำหรับเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่ใช้เทคโนโลยี SLA ชิ้นที่สาม คือ Pegasus ผลิตโดยบริษัท FSL3D ได้รับเงินสนับสนุนจากการเครือข่าย Kickstarter 820,000 เหรียญสหรัฐ (รายละเอียดผลิตภัณฑ์ http://www.fsl3d.com/pegasus-touch/) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ได้รับการออกแบบให้มีความเร็วในการพิมพ์ที่สูงและมีความละเอียดในการพิมพ์สูง สามารถสร้างชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่สุด 177 x 177 x 228 มิลลิเมตร ภายในเครื่องพิมพ์มีการติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอัตราเร็วในการประมวลผล 1 กิกะเฮิรตซ์ไว้ภายใน โดยมีหน้าจอแสดงผลและรับการสั่งงานแบบ Touch Screen และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถสั่งการพิมพ์ได้โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อจากภายนอก แต่หากต้องการให้มีการเชื่อมต่อก็สามารถทำได้ผ่านทางพอร์ต USB, Ethernet และ Wi-Fi ความละเอียดเล็กสุดการพิมพ์คือ 80 ไมครอน พิมพ์ชิ้นงานที่มีความหนาได้เพียง 5 ไมครอน ซึ่งเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ มีราคาจำหน่ายหน้าเว็บที่ 2,999 เหรียญสหรัฐ

 

 

 

รูปที่ 6 เครื่องพิมพ์ 3 มิติที่ใช้เทคโนโลยีใหม่

 

 

          นวัตกรรมของเครื่องพิมพ์ 3 มิติยังคงเกิดขึ้นตลอดเวลา ด้วยเทคโนโลยีในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นวัสดุ 3 มิติ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ตัวอย่างเช่นเครื่องพิมพ์จาก Sintratec ซึ่งมีการประกาศขอระดมทุนจากเครือข่าย Indiegogo ได้รับเงิน 213,000 เหรียญสหรัฐ ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์โดยนำวัตถุดิบเช่นแป้ง พลาสติก เซรามิก และโลหะ ไปเข้าในตู้ปิดของเครื่องพิมพ์ซึ่งใช้เทคโนโลยีเลเซอร์และความร้อนในการยิงไปยังเนื้อของวัตถุดิบที่เทบรรจุลงในเครื่องพิมพ์ แล้วทำให้เกิดชิ้นงาน 3 มิติ เรียกเทคโนโลยีชนิดใหม่นี้ว่า Laser Sintering หรือ SLS ซึ่งทางบริษัท Sintratec ยืนยันว่าชิ้นงานที่ได้รับการพิมพ์ขึ้นด้วยเทคโนโลยี SLS มีความแข็งแรง และมีอายุการใช้งานที่ยืนยาวการพิมพ์ด้วยเทคโนโลยี FDM และ SLA ราคาของเครื่องพิมพ์ Sintratec ที่เป็นชุดคิตดังแสดงในรูปที่ 6 อยู่ที่ 4,999 ยูโร ผู้สนใจสามารถสอบถามราคาของเครื่องพิมพ์ Sintratec S1 ที่เป็นเครื่องใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้ผ่านทางเว็บไซต์ http://www.sintractec.com ส่วนวิดีโอคลิปนำเสนอผลิตภัณฑ์ Sintratec ที่แสดงต่อผู้ลงทุนในเครือข่าย Indiegogo นั้นอยู่ที่ https://www.youtube.com/watch?v=hS1mSxF3QeY

 

 

          นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์ Kast ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์ 3 มิติจากบริษัท Retina Casting ที่ประกาศตัวว่ามีความเร็วในการพิมพ์สร้างชิ้นงานมากกว่าเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์แบบ FDM ทั่วไปถึงกว่า 10 เท่า ข้อมูลทางเว็บไซต์ของบริษัทนั้นไม่ชัดเจนในรายละเอียด ผู้สนใจสามารถคลิกดูคลิปรีวิวประสิทธิภาพของ Kast ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=DFF6th7koS0

 

  

 

 

รูปที่ 7 วัสดุประเภทใหม่ๆ ที่เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติสามารถรองรับ

 

 

          ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีการสร้างผลิตภัณฑ์ใช้งานต่างๆ ซึ่งเป็นรูปแบบของชิ้นงาน 3มิติ ในปัจจุบัน ได้ก้าวพ้นกระบวนการการผลิตและขึ้นรูปแบบโรงงานอุตสาหกรรมในอดีต ด้วยขีดความสามารถของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่มีราคาไม่แพง สามารถสร้างชิ้นงานได้แม้จะมีความต้องการเพียง 1 ชิ้น โดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องมีภาระจ่ายเงินให้ผู้ผลิตสร้างแม่แบบ (Mold) สำหรับชิ้นงานเหมือนดังเช่นในอดีต แน่นอนว่าการใช้เทคโนโลยี CAD (Computer-Aided Design) เพื่อออกแบบแม่พิมพ์จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเรื่อยๆ เพราะผู้ออกแบบกับผู้สั่งทำสามารถทำความเข้าใจร่วมกันและใช้ซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชันที่ทำงานร่วมกับเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ในการออกแบบชิ้นงาน แล้วจึงทำการสั่งพิมพ์ ไม่ว่าจะโดยใช้เทคโนโลยี FDM, SLA หรือล่าสุดกับ SLS หากผิดพลาดก็สามารถดูได้ทันทีจากชิ้นงานที่ได้รับการพิมพ์สร้างขึ้นมาและทำการแก้ไขได้ ต้นทุนคงที่ในการสร้างแม่พิมพ์จึงมิใช่เรื่องจำเป็นต่อการผลิตอีกต่อไป วัตถุดิบที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างชิ้นงานก็มีความหลากหลายมากขึ้น อันเป็นผลมาจากการออกแบบเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ให้รองรับการใช้งานวัสดุนั้น ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก คาร์บอนไฟเบอร์ กระจก หินทราย ช็อคโกแลต ผ้า หมึกชีวภาพหรือ Bio Ink ไปจนถึงการพิมพ์ลงบนเนื้อเยื่อและกระดูกของมนุษย์ ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน่ต่อวงการการแพทย์ก็คือการสร้างเม็ดยาขึ้นมาโดยควบคุมส่วนผสมของสารเคมี ซึ่งสามารถแทนที่การใช้งานเครื่องจักรที่ใช้ผลิตยาในโรงงานเภสัชกรรม ทำให้ต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปรในการผลิตเม็ดยามีราคาต่ำลงอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคเป็นอย่างมาก

 

 

 

รูปที่ 8 การสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆ

 

 

          รูปที่ 8 เป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ได้รับการสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์แผ่นรองฝ่าเท้าที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความนุ่มสำหรับการสวมใส่รองเท้า ตัวอย่างที่แสดงก็คือผลิตภัณฑ์ SOLS ที่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนจากนักลงทุนได้เงินมากถึง 19.3 ล้านเหรียญสหรัฐ รายละเอียดเพิ่มเติมของบริษัทและผลิตภัณฑ์แสดงอยู่ที่ http://www.sols.com/ โดยผู้ใช้งานสามารถใช้แอพพลิเคชันบนอุปกรณ์ Smart Phone ถ่ายภาพเท้าของตนเองโดยใช้แอพพลิเคชันที่ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ ปัจจุบันรองรับเฉพาะระบบปฏิบัติการ iPhone แล้วส่งข้อมูลกลับมายัง SOLS พร้อมกับทำการสั่งทำแผ่นรองฝ่าเท้าที่เข้ากับลักษณะทางกายภาพของตนเองซึ่งแอพพลิเคชันจะทำการวิเคราะห์ ข้อมูลทางกายภาพจะถูกนำมาประมวลผลเพื่อสร้างแผนรองฝ่าเท้าให้เหมาะกับผู้บริโภค ธุรกิจนี้มิใช่การขายเครื่องพิมพ์ 3 มิติ แต่เป็นการประยุกต์ใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติมาสร้างธุรกิจต่อยอด อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่สนใจว่าการผลิตแผ่นรองฝ่าเท่าเป็นอย่างไร ก็สามารถชมตัวอย่างคลิปของการผลิตแผ่นรองฝ่าเท้าได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=QZbqsidyUN8

 

 

          การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติอีกกรณีหนึ่งก็คือผลิตภัณฑ์ OwnPhones ซึ่งเป็นการรับสั่งทำหูฟังที่ได้การออกแบบมาให้ตรงกับสรีระของรูหูของบุคคลตามที่สั่ง ไม่ต่างจากการรับตัดเสื้อให้กระชับกับรูปทรงของลูกค้า ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลที่นำเสนอในช่วงของการระดมทุนจากเครือข่าย KickStarter ได้ที่ https://www.kickstarter.com/projects/ownphones/ownphones-the-worlds-first-custom-fit-3d-printed-e และรับชมคลิปนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=dhvgyd_LTME  

 

 

          สิ่งที่ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นก็คือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติให้ก้าวออกไปจากการผลิตสินค้าที่มีลักษณะเป็น Mass เพราะท้ายที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นการตัดราคา และจะยิ่งมีความรุนแรงในการแข่งขันการทำราคา เพราะใครก็ตามสามารถนำแม่แบบที่ได้รับการออกแบบบนแอพพลิเคชันย้ายไปสั่งพิมพ์จากผู้ผลิตรายใดๆ ก็ได้ การสร้างมูลค่าและความแตกต่างเพื่อดึงลูกค้าให้มีความจงรักภักดีอยู่กับผู้ผลิต จึงต้องมุ่งไปที่การสร้างสินค้าที่มีความเฉพาะตัว ซึ่งนั่นก็คือการเข้ากับสรีระของผู้ใช้งาน การนำเข้าข้อมูลและการเก็บบันทึกข้อมูลผ่านทางแอพพลิเคชัน ทำงานประสานกับระบบฐานข้อมูลที่เป็นของผู้ให้บริการผ่านทางเครือข่าย Cloud ของตนเอง และมีการทำ Data Analytic ซึ่งทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นการประมวลผลบนเครือข่ายของผู้ผลิตเอง จะทำให้ข้อมูลความลับต่างๆ ไม่รั่วไหวไปยังคู่แข่ง รวมทั้งหมดก็คือการสร้างจุดขายและรับประกันความยั่งยืนของธุรกิจ เป็นการผสานระหว่างเรื่องของ Third Platform อันได้แก่ความสามารถของ Smart Phone การทำงานของแอพพลิเคชัน การบริหารจัดการข้อมูลผ่านเครือข่าย Cloud และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ผลลัพท์โดยใช้เทคโนโลยี Data Analytic เข้ากับการใช้ความสามารถของเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติอย่างแท้จริง

 

 

 

รูปที่ 9 เครื่องพิมพ์ 3 มิติขนาดยักษ์ที่สามารถสร้างบ้านได้ 10 หลังภายใน 1 วัน

 

 

          แน่นอนว่าเรื่องราวของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ มิได้จำกัดเฉพาะเรื่องของการสร้างผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ เพียงเพราะว่าขนาดอันถูกจำกัดด้วยมิติของเครื่องพิมพ์ เพราะผู้ผลิตและนักออกแบบสามารถสร้างชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ เช่น รถยนต์ทั้งคัน หรือแม้กระทั่งบ้านทั้งหลังได้ โดยผลิตส่วนประกอบต่างๆ จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ และนำมาติดตั้งเชื่อมต่อเข้าหากัน รูปที่ 9 เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติในการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ของบ้านพักอาศัยเพื่อนำมาประกอบกัน ซึ่งมิใช่เรื่องที่เป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ แต่สามารถสร้างชิ้นส่วนต่างๆ ได้ในระดับเชิงพาณิชย์ โดยสามารถพิมพ์สร้างชิ้นส่วนต่างๆ ของบ้านได้ถึง 10 หลังภายในเวลาเพียง 1 วัน ส่วนการนำไปประกอบติดตั้งจะใช้เวลาเท่าไรนั้นก็เป็นเรื่องของการก่อสร้าง

 

          จะเห็นว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป ธุรกิจการผลิตและการก่อสร้างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงจากในอดีต เพราะผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังสามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือสิ่งที่ของที่เป็นรูปแบบเฉพาะตน (Customized Product) โดยทำได้ในราคาที่ประหยัด ไม่เหมือนกับแนวคิดและหลักปฏิบัติในยุคอุตสาหกรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา อีกทั้งยังเป็นการเปิดกว้างที่นักพัฒนาหรือบรรดา Startups ทั้งหลายจะได้สร้างบริการและนวัตกรรมต่อยอดใหม่ๆ ในเมื่อแนวโน้มการตอบรับของมวลชนสำหรับการสร้างสินค้าหรือผลิตภัณฑ์แบบเฉพาะตนย่อมมีอยู่สูงโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการสร้างความแตกต่างเฉพาะตนในทุกๆ เรื่อง ยิ่งในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคเสพติดการแสดงความเป็นตัวตนผ่านทางเครือข่าย Social Media การเชื่อมต่อแนวคิดทางการตลาดเข้ากับเครือข่าย Social Media ก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนเชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการในประเทศไทยย่อมมีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ขายได้ออกสู่ตลาดโลกได้ ขึ้นอยู่กับศักยภาพในการคิด สร้าง และผลักดันนวัตกรรมของตนเท่านั้น

 

          ผู้เขียนขอพักกล่าวถึงเรื่องราวของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เพียงเท่านี้ จากนี้ไปจะได้กล่าวถึงแนวทางของนวัตกรรมไฮเทคอันมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2559 อันจะเป็นการเชื่อมโยงและยืนยันทิศทางของการพัฒนาเทคโนโลยีตามที่ได้กล่าวถึงมาตั้งแต่บทความตอนแรก ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

 

 

แนวโน้มการเติบโตของนวัตกรรมไฮเทคในปี พ.ศ. 2559

 

          เข้าสู่ปี พ.ศ. 2559 การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยียังคงเป็นไปอย่างเข้มข้น สืบเนื่องจากการลงตัวของระบบนิเวศน์ของอุปกรณ์สื่อสารไร้สายที่ขยายตลาดออกไปครอบคลุมโลกของอุปกรณ์ Gadget ต่างๆ ไปจนถึงโลกกว้างของ IoT ไม่เพียงแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ หากแต่ยังรวมถึงการเติบโตและกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของปัจจัยอื่นๆ อันประกอบไปด้วยโลก Social Network ที่กลายเป็นสัญลักษณ์แทนตัวตนของผู้คนในระดับโลกไปแล้ว เทคโนโลยีและธุรกิจ Cloud Computing ที่กลายเป็นสาธารณูปโภคสำคัญสำหรับผู้คนบนโลกใบนี้ ไม่เฉพาะแต่เพียงผู้ประกอบการในแวดวงหรือที่ต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีสารสนเทศเท่านั้น หากแต่ยังเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคทุกคน ซึ่งวันนี้การมีพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ Cloud Server กลายเป็นเรื่องปกติสามัญถึงขนาดเป็นหนึ่งในฟังก์ชั่นพื้นฐานที่ถูกบรรจุอยู่ในอุปกรณ์ Smart Phone และปัจจัยประการสุดท้ายที่สำคัญก็คือการเติบโตของเทคโนโลยี Data Analytic หรือ Big Data ที่ทำให้เกิดการต่อยอดวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล เพื่อป้อนกลับมาทำการตลาดให้กับผู้บริโภค กลายเป็นความรู้ใหม่เกิดขึ้น สร้างความรู้ที่ใหม่กว่า และใหม่ยิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งทำให้การตลาดในยุคปัจจุบันทุ่มเงินจำนวนมหาศาลให้กับโลกออนไลน์ เม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นนี้เองที่ทำให้อุตสาหกรรมออนไลน์ ซึ่งเป็นชื่อเรียกของระบบนิเวศน์ดังกล่าวที่ห้อมล้อมผู้คนจำนวนมากทั่วโลกเกิดการเติบโตอย่างไม่ลดละ บทความในเรื่องนี้จะนำเสนอแนวโน้มทั้งทางเทคโนโลยีและทางธุรกิจ 15 ประการที่น่าจะเกิดขึ้นบนโลกนี้ในปี พ.ศ. 2559

 

 

 

 แนวโน้มประการที่ 1  การเติบโตของการให้บริการเก็บข้อมูลแบบ Cloud

 

  

          เครือข่าย Cloud Computing ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อการใช้งานในระดับองค์กร ซึ่งสามารถแยกย่อยออกเป็นองค์กรที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Cloud ไปให้บริการทางด้านสารสนเทศแก่ลูกค้าอีกทอดหนึ่ง หรือจะเป็นองค์กรที่ต้องการประหยัดงบประมาณในการลงทุนสร้างเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ของตนเอง ด้วยการเปลี่ยนไปเป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถเพิ่มหรือลดงบประมาณได้ตามปริมาณการใช้งานจริงภายในองค์กร หรือจะเป็นการใช้งาน Cloud ในการเก็บข้อมูลของผู้บริโภคทั่วไปที่เป็น Mass Consumer เหล่านี้ล้วนเป็นขาขึ้นของธุรกิจ Cloud Computing มีบริษัทผู้ให้บริการ Cloud Computing เกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่เป็นรายใหญ่ระดับโลก ไปจนถึงผู้ประกอบการในระดับประเทศ เกิดการตัดราคา และเพิ่มขีดความสามารถและฟังก์ชั่นในการให้บริการ เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคทั่วไปหรือลูกค้าที่เป็นองค์กรก็ตาม

 

          การใช้งาน Cloud Computing เกิดขึ้นตั้งแต่การจัดเก็บข้อมูลขนาดมโหฬารของบรรดาผู้ให้บริการ Social Network เช่น Facebook, YouTube ไปจนถึงผู้ให้บริการสื่อบันเทิงต่างๆ เช่นบรรดาผู้ให้บริการแอพพลิเคชันด้านการรับชมภาพยนตร์ ซึ่งรายหลังนี้จะมีการใช้เทคโนโลยีแบบพิเศษ คือ Content Delivery Network หรือ CDN ทำหน้าที่เป็นแคช (Caching) เพื่อรับประกันคุณภาพในการถ่ายทอดภาพยนตร์ไปยังผู้บริโภคทั่วไป และยังมีการใช้บริการ Cloud Computing เพื่อจัดเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภค เช่น Cloud ของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วไป การให้บริการ Cloud ของผู้ประกอบการระดับโลกอย่าง Google, Dropbox ฯลฯ สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่ชัดในปี พ.ศ. 2559 ก็คือการซบเซาของธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์สำหรับติดตั้งในองค์กร แต่ในทางกลับกันจะเป็นยุคทองที่เติบโตยิ่งขึ้นของบรรดาผู้ให้บริการ Cloud Computing ซึ่งจะได้รับการเกื้อหนุนด้วยการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารไร้สายและเครือข่ายอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ให้มีอัตราเร็วในการสื่อสารมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคยิ่งต้องการการใช้งานข้อมูลที่มากขึ้น

 

 

 

รูปที่ 10 การเติบโตของธุรกิจ Cloud Computing

 

 

          บรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายโทรคมนาคมทั่วโลก จะทำการยกระดับการให้บริการ Data Center ซึ่งมีแนวคิดเป็นการตั้งตั้งเซิร์ฟเวอร์เพื่อเก็บและประมวลข้อมูล ให้กลายเป็นการให้บริการ Cloud Computing แทน โดยมีความท้าทายเป็นอย่างมากในการบริหารจัดการต้นทุนเพื่อให้สามารถทำราคาสู้กับผู้ให้บริการ Cloud Computing ในระดับโลก ซึ่งมีตลาดที่เปิดกว้างทั้งโลกทำให้สามารถกำหนดระดับได้ต่ำกว่าการให้บริการ Cloud เฉพาะในประเทศใดประเทศหนึ่ง

 

 

 

 แนวโน้มประการที่ 2  การเติบโตของธุรกิจรักษาความปลอดภัยบนโลกออนไลน์

 

 

          เนื่องจากอุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ชีวิตประจำวัน ล้วนมีความสามารถในการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เครือข่าย Wi-Fi หรือแม้กระทั่งเครือข่ายอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ อีกทั้งรูปแบบการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ปัจจุบันก็มีผลผลักดันให้ผู้บริโภคมีทั้งความต้องการและความจำเป็นในการเชื่อมต่อทั้งตนเองและอุปกรณ์เหล่านี้เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ต จึงกลายเป็นเป้าหมายของการจู่โจมเพื่อปล้นข้อมูลส่วนบุคคล หรือวัตถุประสงค์ร้ายอื่นๆ ของบรรดาแฮกเกอร์ทั่วโลก ซึ่งมิใช่เฉพาะจ้องการโจมตีไปที่อุปกรณ์ Smart Phone เท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงบรรดาอุปกรณ์อื่นๆ ในโลกของ Internet of Things หรือ IoT

 

 

 

รูปที่ 11 ภัยคุกคามจากการโจมตีของแฮกเกอร์ผ่านการสื่อสารออนไลน์

 

 

          ความตื่นตัวในการหาโซลูชั่นเพื่อป้องการการถูกคุกคามของอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ รวมถึงบรรดาเซนเซอร์อัจฉริยะบนโลก IoT จะเป็นประเด็นร้อนและจะกลายเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีมูลค่าที่เติบโตขึ้นเป็นอย่างมากในปี พ.ศ. 2559 ผู้ให้บริการเครือข่ายสื่อสารไปจนถึงบรรดาแอดมินขององค์กรต่างๆ จะเพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันการจู่โจมในรูปแบบต่างๆ ของแฮกเกอร์ การเพิ่มความเข้มข้นนั้นอาจถึงขึ้นขยายระดับการรักษาความปลอดภัยจากการรักษาความปลอดภัยของการเชื่อมต่อระดับเครือข่าย (Networking Security) ลงไปถึงการรักษาระดับความปลอดภัยขั้นกายภาพให้กับอุปกรณ์แต่ละชิ้นทีเดียว ซึ่งในแง่ของธุรกิจรักษาความปลอดภัยจะหมายถึงการเติบโตของแอพพลิเคชันรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มฐานลงไปถึงขั้นอุปกรณ์เป็นรายตัว นอกจากนั้นยังหมายถึงการยกระดับการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลของผู้บริโภคที่ปัจจุบันได้รับการเก็บรักษาไว้บน Cloud Computing มากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

 

  แนวโน้มประการที่ 3  การขยายตัวของตลาด Internet of Things

 

 

          การเติบโตของอุปกรณ์ IoT ย่อมจะต้องขยายตัวอย่างก้าวกระโดด โดยไม่เป็นที่สงสัยแต่ประการใด ตั้งแต่อุปกรณ์ Wearable Device ที่มีแพร่หลายจนเกลื่อนตลาดในปัจจุบัน ไปสู่ผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นด้าน IoT อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ ระบบ Connected TV, Connected Home, Drone, Smart Traffic, Smart Parking, Smart Logistic และอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ขอบเขตของนิยามคำว่า Internet of Things ขยายความมากขึ้นจนถึงขั้นเรียกกันแบบยกระดับขึ้นว่า Internet of Everything (IoE)

 

 

 

รูปที่ 12 การเติบโตของเทคโนโลยี Internet of Things

 

 

          การเติบโตดังกล่าวย่อมส่งผลต่อเนื่องไปยังปัจจัยที่ได้กล่าวมาข้างต้น ทั้งในเรื่องของปริมาณข้อมูลทั้งที่เป็นการจัดเก็บและประมวลผลบนเครือข่าย Cloud Computing การต่อยอดนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสำหรับแต่ละบุคคล และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล จะเห็นได้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ส่งเสริมให้เกิดการเติบโตต่อกันโดยเบ็ดเสร็จ ผู้เขียนจึงตั้งข้อสังเกตว่าการเติบโตแบบเกื้อหนุนกันของปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลให้ธุรกิจออนไลน์มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และยากที่จะเกิดการชะงักงัน

 

 

 แนวโน้มประการที่ 4   ยุครุ่งเรืองของบรรดา Freelance

 

 

          สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันทั้งในระดับโลกและในประเทศไทยอยู่ในช่วงขาลง และยากที่จะคาดเดาถึงการย้อนกลับมาเติบโต ส่งผลให้บริษัทในทุกระดับคำนึงถึงการปรับลดขนาดขององค์กรและมีการเลิกจ้างงานพนักงานของตน ซึ่งมองในแง่ของความเคยชินกับการเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้วก็นับเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางการเงิน แต่ในทางกลับกัน การเปิดกว้างของโลกออนไลน์ที่มาพร้อมกับเครือข่าย Social Network ต้นทุนที่ลดลงของการมีหน้าร้านสินค้าและบริการ การตัดคนกลางในห่วงโซ่ของ Logistic ความเป็นไปได้ในการจำหน่ายสินค้าโดยไม่ต้องสต็อกของและไม่ต้องมีหน้าร้านทางกายภาพ และการเริ่มต้นธุรกิจโดยที่ไม่ต้องจมเงินจำนวนมาก ด้วยการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี Cloud Computing และบริการทั้งเว็บเซอร์วิสและแอพพลิเคชันต่างๆ รวมถึงบรรดาเครื่องมือทางซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชัน ซึ่งสอดรับไปด้วยการเข้าถึงตลาดที่เปิดกว้างในระดับโลก ถึงผู้บริโภคทุกประเทศ มีเครื่องมือออนไลน์ที่สามารถคัดกรองกลุ่มเป้าหมายโดยเสียค่าบริการไม่มาก ความก้าวหน้าของเครือข่ายสื่อสารทั้ง 3G, 4G, Wi-Fi และโครงข่ายโทรคมนาคมที่รองรับการสื่อสารด้วยอัตราเร็วมหาศาล ทำให้เป็นปัจจัยเสริมที่สำคัญมากสำหรับผู้ที่คิดเริ่มต้นธุรกิจ อันหมายถึงบรรดาผู้ประกอบการ Startups ที่มีแนวคิดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อแปลงให้เกิดเป็นสินค้า

 

 

รูปที่ 13 ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสารและโลกออนไลน์ ทำให้ปัจจุบันเป็นยุครุ่งเรืองของงาน Freelance

 

 

          ปี พ.ศ. 2559 น่าจะเป็นปีที่มีการเติบโตของผู้ประกอบการอิสระรายย่อยๆ อันรวมถึงบรรดา Freelance เป็นจำนวนมาก การปรับลดขนาดขององค์กรสำหรับบริษัทต่างๆ นั้นย่อมหมายถึงการที่ต้องพึ่งพาบริการจากบรรดา Outsource หรือบรรดา Freelance ต่างๆ การแข่งขันของบรรดา Freelance ในอนาคตแม้จะทวีความดุเดือด แต่ก็ถือเป็นโอกาสอันดีในการฝึกพัฒนาศักยภาพของตนให้มีความโดดเด่น มีความรับผิดชอบต่อเวลาและคุณภาพของงาน ข้อดีของการว่าจ้าง Outsource หรือ Freelance ของบริษัทก็คือเป็นการจ่ายตามเนื้องานเป็นครั้งๆ ไม่ต้องสำรองเงินทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สวัสดิการสังคม โบนัส ค่าจ้างให้ออกจากงาน ฯลฯ เหมือนการที่ต้องจ้างพนักงานประจำ ข้อดีของ Freelance ก็คือหากผลงานมีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของบริษัท ก็จะสามารถเรียกค่าจ้างในระดับที่สูงพอสมควร พฤติกรรมใหม่ของมนุษย์นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ขึ้นไป ก็น่าจะเริ่มเข้าสู่ยุคทำงานที่ใดก็ได้ (Everywhereism)

 

 

 แนวโน้มประการที่ 5   ผู้คนจะเริ่มเหนื่อยล้ากับโลก Social Media

 

 

          แม้ Social Network จะเป็นสัญลักษณ์อย่างเกือบจะเป็นทางการในการแทนตัวตนของผู้บริโภคบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ Social Network ID เช่น Facebook ID ในการเป็นตัวแทนสำหรับสมัครใช้งานบริการหรือแอพพลิเคชันต่างๆ แทนอีเมลในอดีต ด้วยยุทธศาสตร์การสร้างความจงรักภักดีต่อบริการ Social Network นั้นๆ และยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเติบโตของธุรกิจโฆษณาออนไลน์ ด้วยการที่มีการส่งผ่านข้อมูลส่วนบุคคลที่จัดเก็บหรือเกิดจากการเรียนรู้ต่อยอดของระบบซอฟต์แวร์บนแพลตฟอร์ม (Platform) Social Network นั้นๆ ไปยังแอพพลิเคชันหรือบริการต่างๆ ที่ผู้บริโภคใช้ Social ID ในการยืนยันตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามผลที่เกิดตามมาจากความพยายามผลักขายหรือพยายามขายเพิ่ม (Up Sales หรือ Cross Sales) ที่มากจนเกินควรและทำให้รู้สึกสูญเสียความเป็นส่วนตัวบนบริการออนไลน์ต่างๆ ผ่านไปยังผู้บริโภคนั้นจะเริ่มทำให้เกิดแรงต่อต้านและจะทำให้ผู้บริโภคพาลรังเกียจบริการ Social Network นั้นๆ ถึงขั้นพร้อมที่จะทิ้งและมองหาบริการ Social Network อื่นๆ ที่ให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งศัพท์เทคนิคทางการตลาดเรียกว่า Social Media Fatigue

 

          แม้ในความเป็นจริง การผูกพันระหว่างชีวิตจริงกับบริการหรือแพลตฟอร์ม Social Nework ของผู้บริโภคจะอยู่ในขั้นที่เหนียวแน่นไปแล้ว จนทำให้ Switching Cost หรือความต้นทุนในการย้ายผู้ให้บริการจะสูงมาก แต่ประเด็นดังกล่าวก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่บรรดาผู้ประกอบการที่เล็งจะแจ้งเกิดในการให้บริการ Social Network แพลตฟอร์มใหม่ๆ ใช้เป็นกลยุทธ์ในการดึงผู้บริโภค ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าธรรมชาติในการให้บริการของ Social Network นั้นครอบคลุมผู้บริโภคในตลาดโลก มิใช่เฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง หากผู้ให้บริการ Social Network รายใหม่เจ้าใดเจ้าหนึ่งสามารถวางกลยุทธ์โดยประสานกับบรรดาแพลตฟอร์มที่ให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิต ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า การจองตั๋วต่างๆ รวมถึง Social Network รายอื่นๆ ที่เกื้อกูลข้อมูลซึ่งกันและกัน แล้วพร้อมเปิดให้บริการโดยรับประกันว่าจะไม่มีการก้าวล่วงเพื่อรบกวนผู้บริโภค โดยเฉพาะในเรื่องของการผลักโฆษณาหรือนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคไปใช้งานโดยไม่ขออนุญาต เช่นนี้ อาจเป็นภัยคุกคามต่อผู้ให้บริการ Social Network รายใหญ่ที่เริ่มประสบปัญหาความเอือมระอาของผู้บริโภคได้หากไม่ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของตน ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือหากวันหนึ่งเราพบว่า บรรดาแอพพลิเคชันต่างๆ ที่เคยเปิดทางให้เราสามารถสมัครและเข้าใช้งานโดยใช้ Facebook ID หรือ LINE ID ได้พร้อมใจกันเพิ่มช่องทางในการสมัครและเข้าใช้งานด้วย Social Network ID ของผู้ให้บริการรายใหม่ๆ นั่นย่อมหมายถึงเวลาในการต่อสู้ของผู้ให้บริการ Social Network ครั้งสำคัญ ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคทั้งสิ้น อาการเหนื่อยใจของผู้บริโภคต่อ Social Network จะเห็นชัดมากขึ้นในปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป หากโลกโฆษณาออนไลน์ยังเพิ่มระดับการคุกคามความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคขึ้นเรื่อยๆ

 

 

 

รูปที่ 14 อาการเหนื่อยใจของผู้บริโภคจากการถูกคุมคามความเป็นส่วนบนโลก Social Network

 

 

 

 แนวโน้มประการที่ 6   อุปกรณ์สื่อสารไร้สายจะยิ่งมีบทบาทต่อชีวิตมากขึ้น

 

 

          อุปกรณ์สื่อสารไร้สายในรูปแบบของ Smart Phone ที่มีขนาดหน้าจอในช่วง 5-6 นิ้ว กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่พอสำหรับการใช้ในกิจกรรมที่สำคัญในชีวิต ตั้งแต่การชมภาพยนตร์ การเข้าสู่เครือข่าย Social Network และแม้กระทั่งการเข้าอ่านและเขียนอีเมล ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีที่ตอกย้ำว่าความนิยมในอุปกรณ์ประเภท Tablet ลดค่าลงเป็นอย่างมาก สาเหตุสำคัญก็เนื่องมาจากขนาดที่ใหญ่และน้ำหนักที่มากไม่สะดวกต่อการพกพา ที่สำคัญก็คือด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่และความละเอียดที่มากของหน้าจอ ก็มีผลทำให้ปริมาณข้อมูลซึ่งมีการส่งผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่มีมากไปด้วย เกิดความกังวลในค่าใช้จ่ายด้านค่าบริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้บริโภค

 

          ความสามารถในการประมวลผลของซีพียูที่เพิ่มมากขึ้น อัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G/4G และเครือข่าย Wi-Fi ซึ่งปัจจุบันเป็นมาตรฐาน IEEE802.11ac ทั้งในด้านพัฒนาการทางเครือข่ายและขีดความสามารถของเครื่องลูกข่ายเอง ความละเอียดอันนำไปสู่ความคมชัดในการแสดงผลบนหน้าจอโทรศัพท์เคลื่อนที่ อันมีผลทำให้ Smart Phone กลายเป็นทั้งเครื่องมือและช่องทางในการเสพสื่อประเภทวิดีโอ ซึ่งหมายความรวมถึงรายการโทรทัศน์ทั้งแบบตามผังเวลา (Linear TV) และแบบบันทึกไว้บนเครือข่ายเพื่อการชมย้อนหลัง (Catch Up TV) ไปจนถึงการรับชมภาพยนตร์และซีรีย์ รวมถึงคลิปที่มีผู้บริโภครวมไปจนถึงผู้ผลิตต่างๆ สร้างขึ้น (User Generated Content หรอ UGC) บทบาทของ Smart Phone อันรวมไปถึง Tablet ต่างๆ ในแง่ของช่องทางการเสพความบันเทิงจึงมีความสำคัญและจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นในปีนี้

 

          นอกเหนือจากการเสพความบันเทิงแล้ว การผูกตัวตนของผู้บริโภคกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smart Phone หรือ Tablet โดยใช้แอ็คเคาน์ต่างๆ ทั้ง gmail account บนโลกปฏิบัติการ Android หรือ Apple ID บนระบบปฏิบัติการ iOS ต่อเนื่องไปจนถึงการใช้แอ็คเคาน์ Facebook หรืออีเมล์ในการสมัครและใช้งานบริการบนแอพพลิเคชันต่างๆ ที่ผู้ใช้งานดาวน์โหลดมาติดตั้งบน Smart Phone หรือ Tablet PC ก็เอื้อต่อความสะดวกในการใช้งานอุปกรณ์อัจฉริยะเหล่านี้ ที่สำคัญก็คือการเกิดขึ้นของบริการ Cloud ในรูปแบบต่างๆ ทำให้ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการใช้งาน Smart Phone หรือ Tablet เครื่องใดเครื่องหนึ่ง พูดให้ชัดขึ้นก็คือผู้บริโภคมีโอกาสที่จะถูกชักนำให้เปลี่ยนอุปกรณ์สื่อสารไร้สายเหล่านี้เป็นรุ่นใหม่ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น โดยอาศัยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ขีดความสามารถที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากผู้ผลิต ถือเป็นยุคทองของการพัฒนาและจำหน่ายสินค้าประเภทนี้อย่างยิ่ง อายุเฉลี่ยในการใช้ Smart Phone แต่ละเครื่องเริ่มสั้นลง ขณะที่ขีดความสามารถของ Smart Phone กลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆ กับการขยายตัวของบรรดาอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น แบตเตอรี่พกพา หูฟังหรือลำโพง Bluetooth ไปจนถึง Wearable Device ต่างๆ

 

 

 

รูปที่ 15 โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smart Phone จะยิ่งทวีบทบาทต่อการใช้ชีวิตมากขึ้น 

 

 

          Smart Phone ในปัจจุบันมีขีดความสามารถที่ครบถ้วน ทั้งชิปเซ็ต GPS (Global Positioning System) ระบบสื่อสารแบบ NFC (Near Field Communication) โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ได้รับการติดตั้งมาตรฐานสื่อสาร Bluetooth Low Energy ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ ยิ่งทำให้อายุการใช้งานต่อการประจุไฟหนึ่งครั้งของ Smart Phone ยืนยาวขึ้น พร้อมๆ กับการพัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานมากขึ้นในขนาดที่เท่ากับเดิม การใช้ Smart Phone เป็นเสมือนตัวกลางในการเชื่อมต่อกับระบบการเงิน โดยเฉพาะเทคโนโลยี Mobile Cash Basket หรือการที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทำตัวเป็นเสมือนธนาคารและเปิดให้ผู้ใช้งานเครือข่ายสามารถสร้างแอ็คเคาน์หรือบัญชีทางธนาคารพร้อมทั้งให้โอนเงินจากธนาคารทางกายภาพ (ซึ่งก็คือธนาคารที่มีสาขาดังที่รู้จักกันทั่วไป) ให้เข้ามายังบัญชี Mobile Cash Basket พร้อมทั้งสามารถธุรกรรมต่างๆ ได้ รวมถึงมีดอกเบี้ยจากการฝากเงิน ไปจนถึงการใช้ขีดความสามารถเชื่อมต่อกับฟังก์ชัน NFC บน Smart Phone เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถแตะ Smart Phone กับอุปกรณ์อ่านค่าอื่นๆ เช่น ประตูทางเข้ารถไฟฟ้า ระบบชำระเงินแบบแตะสัมผัส ระบบการซื้อตั๋วภาพยนตร์ เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินแบบไร้สายอย่างเต็มรูปแบบ ดังที่ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยทั้ง 3 รายได้เปิดให้บริการเต็มรูปแบบไปแล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เช่นเดียวกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่อีกหลายๆ รายทั่วโลก

 

 

  แนวโน้มประการที่ 7    ยุคร่วงโรยของเทคโนโลยี Wearable Device

 

 

          อุปกรณ์ Wearable Device ต่างๆ ไล่ตั้งแต่นาฬิกาอัจฉริยะ กำไลข้อมือที่อ่านค่าอุณหภูมิและการเคลื่อนไหวร่างกาย แว่นอัจฉริยะ ฯลฯ ซึ่งมีทั้งที่ต้องทำการสื่อสารกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smart Phone หรือ Tablet PC ไปจนถึงรุ่นพิเศษที่ได้รับการออกแบบให้สามารถใส่ SIM Card เพื่อให้สามารถสื่อสารผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปยังระบบประมวลผลและจัดการบน Cloud Computing ซึ่งทั้งสองกรณีผู้บริโภคก็สามารถใช้แอพพลิเคชันที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับอุปกรณ์ Wearable Device นั้นในการทำงานประสานกับอุปกรณ์ของตน โดยมีการกำหนดชื่อ (Identity หรือ ID) ของอุปกรณ์กับแอ็คเคาน์ของผู้บริโภคแต่ละราย

 

 

 

รูปที่ 16 การแข่งขันที่รุนแรงเกินไปของตลาด Wearable Device ทำให้เกิดการเฟ้อของอุตสาหกรรมดังกล่าว

 

 

          การแข่งขันผลิตอุปกรณ์ Wearable Device อย่างดุเดือด จากเดิมที่เป็นสินค้าที่เติบโตมาจากผู้ประกอบการ Startups ไล่มาสู่การที่ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Apple, Samsung, Sony ฯลฯ เริ่มกระโจนเข้าสู่ตลาด หลังจากนั้นก็กลายเป็นการผลิตตามเป็นแบบมวลรวมโดยผู้ผลิตจำนวนมากในประเทศจีน เกิดเป็น Wearable Device สารพัดราคา สารพัดขีดความสามารถ เกิดการตัดราคาจนปัจจุบันสามารถหาซื้อกำไลข้อมืออัจฉริยะได้จาก Online Shopping ได้ในราคาถูก ในประเทศไทยเองก็สามารถหาสินค้าดังกล่าวได้ในราคาต่ำกว่า 100 บาท สินค้ามีให้เลือกหลากหลายมาตรฐาน มองในมุมของผู้บริโภคก็ต้องบอกว่าเป็นประโยชน์ในการซื้อหาสินค้าเหล่านี้มาใช้งานได้ในราคาที่หลากหลาย แลกกับขีดความสามารถของอุปกรณ์และความต้องการของผู้บริโภค แต่ในอีกบริบทหนึ่ง การที่อุปกรณ์เหล่านี้มีการเชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์ Smart Phone เพื่อทำงานร่วมกับแอพพลิเคชันบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว และยังมีการเก็บข้อมูลผ่านเครือข่าย Cloud Computing เพื่อเก็บบันทึกข้อมูลและประมวลผล โดยผู้บริโภคจำเป็นต้องลงทะเบียนและเปิดแอ็คเคาน์เพื่อแสดงตัวเอง ในกรณีของอุปกรณ์ Wearable Device ที่มีราคาถูกและไม่มาจากผู้ผลิตที่ไม่ทราบที่มาที่ไป การลงทะเบียนดังกล่าวก็เป็นความเสี่ยงต่อการถูกคุกคามข้อมูลส่วนตัว

 

          ที่สำคัญ การทำตลาด Wearable Device ในปัจจุบันก็เป็นไปในลักษณะสะเปะสะปะไร้ทิศทาง เป็นเพียงการผลิตสินค้าเดิมๆ ที่ใช้หลักการทำงานเดิมๆ เป็นจำนวนมากตัดราคา มิได้มีทิศทางการของสร้างอรรถประโยชน์ใดๆ แก่ผู้บริโภค หากยังไม่มีแนวคิดใหม่ๆ ทางธุรกิจอีก ก็เชื่อว่าทิศทางของผลิตภัณฑ์ Wearable Device ในปี พ.ศ. 2559 น่าจะเป็นไปในทิศทางขาลงอย่างแน่นอน

 

 

  แนวโน้มประการที่ 8   ธุรกิจ Search Engine Optimization จะเติบโตมากในตลาดท้องถิ่น

 

  

          เงินลงทุนในการโฆษณาประชาสัมพันธ์มีการเปลี่ยนทิศทางจากสื่อโฆษณาในยุคดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร โฆษณาโทรทัศน์ บิลบอร์ด รายการวิทยุ ฯลฯ ได้มีการเปลี่ยนทิศทางมาเป็นการโฆษณาออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลากว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา การโฆษณาประชาสัมพันธ์ไม่ว่าจะกระทำผ่านเว็บไซต์แบนเนอร์ (Banner Advertising) การโฆษณาผ่าน Social Media เช่น LINE, YouTube หรือ Facebook ตลอดจนการวางตำแหน่งในการค้นหาของ Search Engine ต่างๆ โดยเฉพาะบน Google เหล่านี้กลายเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพิจารณาจัดวางงบประมาณทางการตลาดของผู้ประกอบการต่างๆ

 

          เทคโนโลยี Search Engine Optimization หรือ SEO ซึ่งเป็นกลไกในการกำหนดคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ ผู้บริโภค และเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง บนระบบค้นหาคำบนโลก Online กลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ SEO ที่ดีซึ่งไม่จำเป็นต้องแลกด้วยเงินค่าบริการที่สูงเสมอไป หากแต่ขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์การกำหนดคีย์เวิร์ดของผู้ประกอบการ จะทำให้เว็บไซต์หรือ Facebook Page ไปจนถึง Instagram Page หรืออื่นๆ ของผู้ค้าขายถูกแสดงเป็นอันดับต้นๆ สำหรับการสืบค้นคำของผู้บริโภค เรื่องดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในวงการธุรกิจออนไลน์ โดยในอดีตผู้ให้บริการ Search Engine รายใหญ่ๆ จะเป็นผู้ผูกขาดการให้บริการเหล่านี้ แต่เมื่อโลกอินเทอร์เน็ตมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งในแง่ของจำนวนผู้ใช้บริการ ความทับซ้อนของตลาดระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ ทำให้ความต้องการในการจำกัดพื้นที่ในการสร้างประสิทธิผลของ SEO ลดระดับลงตามความต้องการของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการหลายๆ ราย มิได้มีความต้องการให้ SEO ในระดับโลกพบชื่อของตนเองในอันดับต้นๆ ตลอดไป ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไปเพื่อแลกกับขีดความสามารถดังกล่าวมีค่าสูงมากเมื่อเทียบกับความต้องการหรือขีดความสามารถของตนเองที่ต้องการทำตลาดเพียงระดับประเทศหรือระดับภูมิภาค

 

 

 

รูปที่ 17 การทวีความสำคัญของผู้ให้บริการ Search Engine Optimization ในระดับท้องถิ่น

 

 

          ความต้องการตัวผู้ให้บริการ SEO ที่สามารถรับประกันการโฆษณาตัวตนของธุรกิจในระดับท้องถิ่น โดยผู้ให้บริการ SEO ท้องถิ่นจึงกลายเป็นความสำคัญ เพื่อให้คุ้มกับเงินลงทุนด้านโฆษณาของผู้ประกอบการเอง เมื่อลดขนาดของตลาดในการให้บริการ SEO ประสิทธิภาพในการดึงลูกค้าเข้ามาเพื่อให้รู้จักสินค้าหรือตัวผู้ประกอบการเองก็จะมีความแม่นยำและมีประสิทธิผลมากขึ้น เทคนิคในการสร้างคีย์เวิร์ดและการเชื่อมต่อกับการค้นหาของผู้บริโภคสามารถครอบคลุมได้กับการเข้าถึง Online ได้สารพัดประเภท ตั้งแต่การท่องอินเทอร์เน็ตของผู้บริโภค การสร้างเว็บไซต์แบบ HTML ให้ฝังรหัสหรือคีย์เวิร์ด การฝังการโฆษณาตาม BLOG โดยให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของสินค้าหรือบริการนั้นๆ ศาสตร์ทางด้าน SEO มีความซับซ้อนและผู้เขียนจะนำมาเสนอแยกออกไปเป็นบทความต่างหาก

 

 

  แนวโน้มประการที่ 9   การเพิ่มขยายตัวอย่างมหาศาลของงบการตลาดด้าน Content

 

 

          ดังได้กล่าวในหัวข้อแนวโน้มประการที่ 9 แล้วว่าเมื่อการเข้าถึงสื่อข้อมูล (Content) บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้กลายเป็นชีวิตประจำวันของผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันแล้ว โดยมีอุปกรณ์ Smart Phone หรืออุปกรณ์สื่อสารอัจฉริยะอื่นๆ เช่น Smart TV เป็นช่องทางในการเชื่อมต่อ ทิศทางในการใช้จ่ายงบประมาณด้านการตลาดก็ถูกปรับเข้าสู่โลกออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นครรลองที่ควรเป็นอยู่แล้วในโลกการตลาดดิจิตอล

 

 

 

รูปที่ 18 การบริโภค Content จะดึงให้มีการใช้จ่ายงบประมาณด้านการตลาดอย่างมหาศาล

 

 

          สิ่งที่จะปรากฏชัดขึ้นใน พ.ศ. 2559 ก็คือการใช้งบประมาณการตลาด Online ในการประชาสัมพันธ์บริการและผลิตภัณฑ์ด้านดิจิตอล หรือ Digital Content อย่างมากขึ้น การบริโภค Content ดิจิตอลจะเติบโตมากขึ้นเนื่องจากความพร้อมของทั้งเครือข่ายสื่อสารไร้สายที่รองรับการสื่อด้วยอัตราเร็วสูง และจากขีดความสามารถของ Smart Phone และ Tablet PC รวมไปถึงบรรดาอุปกรณ์ Smart TV และ Android Set Top Box ทำให้ผู้บริโภคเริ่มนิยมและอาจขึ้นเสพติดสินค้าที่เป็น Content อันมีตั้งแต่ภาพยนตร์ผ่านแอพพลิเคชัน เกมส์ หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตประจำวันบนโลก Online  เช่น การทำ Online Shopping การเรียนหนังสือหรือกวดวิชาผ่านแอพพลิเคชัน ซึ่งแม้สินค้าดิจิตอลต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว แต่ขีดความสามารถของทั้งเครือข่ายสื่อสารและบรรดาอุปกรณ์อัจฉริยะนับจากปัจจุบันเป็นต้นไปจะทำให้อรรถรสในการเสพ Content เหล่านี้ประสิทธิภาพขึ้นและจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของชีวิต

 

 

  แนวโน้มประการที่ 10   การขยายตัวของบริการเว็บไซต์แบบ Ask-Me-Anything

 

 

          ผู้บริโภคทั่วโลกคุ้นชินกับการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การซ่อมแซมสิ่งของ การทำอาหาร การลงแอพพลิเคชัน ศิลปะการพูด ฯลฯ ผ่านทางบริการบนเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชันมานานหลายปีแล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการค้นคว้าหาคลิปผ่านทาง YouTube ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบธุรกิจจำนวนหันมาสร้างคลิปเพื่อแนะนำสินค้าในลักษณะคู่มือสินค้า (Product Manual) หรือแม้กระทั่งทำการโฆษณาแนะนำการใช้งานแอพพลิเคชัน รีวิวสถานที่ หรือสิ่งต่างๆ บน YouTube รวมถึงบริการ Social Media ในลักษณะใกล้เคียง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันรูปแบบการให้บริการที่ลึกล้ำกว่านั้นภายใต้ชื่อเรียกแนวทางการให้บริการดังกล่าวว่า Ask-Me-Anything หรือ AMA ที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงแพลตฟอร์มที่เป็นทั้งเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชันเพื่อตั้งคำถามและสามารถรอรับคำตอบ หรือใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับคำถามหรือเรื่องที่ตนอยากทราบไปเชื่อมต่อกับกระทู้ของผู้ใช้งานรายอื่นๆ อันที่จริงแล้วบริการ AMA ก็คือพัฒนาการที่เติบโตขึ้นของแพลตฟอร์มด้านการบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management หรือ KM) ที่เกิดมาสำหรับการใช้งานภายในองค์กร แต่เมื่อเปิดกว้างเข้าสู่โลกสาธารณะในยุคที่ Social Network เติบโตอย่างเบ่งบาน ก็กลายกำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมใหม่ของผู้คนทั่วโลก

 

 

 

รูปที่ 19 ตัวอย่างหน้าจอของบริการ Quora ซึ่งเป็นหนึ่งเว็บไซต์ที่ให้บริการ แนว AMA หรือ Ask-Me-Anything

 

 

          ตัวอย่างของผู้ใช้บริการแบบ AMA อาทิเช่น www.Reddit.com หรือ www.Quora.com ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจำนวนมาก การเติบโตของเว็บไซต์ที่ให้บริการ AMA มิได้มีนัยมาจากความสมหวังของผู้บริโภคที่จะได้รับคำตอบจากสมาชิกบนแพลตฟอร์มที่มาจากโลกอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจของผู้ประกอบการสินค้าและบริการทั่วโลก ที่จะใช้แพลตฟอร์ม AMA ในการตอบคำถามข้อข้องใจของสมาชิก พร้อมๆ ไปกับการนำเสนอให้ผู้บริโภคสนใจหรือตัดสินใจที่จะใช้สินค้าหรือบริการของตน การเติบโตของการให้บริการแบบ AMA จะเริ่มปรากฏชัดมากขึ้นพร้อมๆ กับเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำตลาดของผู้ประกอบการในปี พ.ศ. 2559 อย่างชัดเจนขึ้น

 

          แนวโน้มของธุรกิจเทคโนโลยีในปี พ.ศ. 2559 ลำดับที่ 11 ถึง 15 เป็นวิสัยทัศน์ของนาย David Cearley ผู้บริหารจากบริษัทวิจัย Gartner IT ซึ่งแถลงรายงาน “10 ยุทธศาสตร์แนวโน้มเทคโนโลยีประจำปี ค.ศ. 2016” ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งมีหลายๆ แนวโน้มที่ตรงกันกับที่ได้กล่าวถึงข้างต้น โดยจะได้กล่าวถึงแนวโน้มในด้านอื่นๆ ที่น่าสนใจอีก 5 ประเภทดังนี้

 

 

  แนวโน้มประการที่ 11   การเชื่อมต่อของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกเป็นโครงข่ายร่างแห

 

 

          ต้นทุนที่ถูกลงของเทคโนโลยีเซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้นักประดิษฐ์สามารถติดตั้งเซนเซอร์ไปในเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ต่างๆ ทั้งที่ใช้งานในชีวิตประจำวันหรือเป็นเครื่องมือสำหรับมืออาชีพ อาทิเช่น ช้อนซ่อมอัจฉริยะที่มีเซนเซอร์วัดประเภทของอาหารที่แตะต้องไปโดนแล้วส่งข้อมูลมายัง Smart Phone เพื่อทำการคำนวณคุณค่าทางโภชนาการ ถุงเท้าอัจฉริยะที่วัดชีพจร ความชื้นของร่างกาย รวมไปถึงการนับย่างก้าวของเท้า เพื่อทำการประมวลผลด้านการออกกำลัง ไปจนถึงเครื่องครัวอัจฉริยะ ฯลฯ เป็นไปได้อย่างยิ่งที่นักประดิษฐ์จะสร้างแอพพลิเคชันเพื่อทำการเชื่อมต่อการรับข้อมูลระหว่างอุปกรณ์อัจฉริยะเหล่านี้ แล้วทำการสั่งการเพื่อบริหารจัดการการทำงานที่ซับซ้อนขึ้นในชีวิตของมนุษย์โดยมีจุดประสงค์เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น

 

 

 

รูปที่ 20 อุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ ที่มีการติดตั้งเซนเซอร์จะได้รับการออกแบบให้สามารถทำงานแลกเปลี่ยนข้อมูลสั่งการระหว่างกันได้เพื่อตอบสนองความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของมนุษย์

 

 

          แนวทางดังกล่าวมิใช่เรื่องแปลกใหม่จากครรลองการพัฒนาของเทคโนโลยี IoT แต่ปี พ.ศ. 2559 จะถือเป็นปีที่มีแรงกดดันจากตลาดเทคโนโลยีที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีที่ไกลตัวมนุษย์ ให้เชื่อมประสานทำงานด้วยกันเพื่อสร้างโซลูชั่นการใช้ชีวิตของมนุษย์ให้มีความสะดวกมากขึ้น หัวใจสำคัญก็คือต้นทุนที่ถูกลงของระบบ Cloud Computing ที่ทำหน้าที่เก็บและประเมินผลข้อมูลของบรรดาอุปกรณ์ IoT ต่างๆ ทำให้สามารถดำเนินการประมวลผลในเชิง Data Analytic ที่มีความแม่นยำและสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้มากขึ้น การเชื่อมต่อของบรรดาเซนเซอร์ผ่านอุปกรณ์ IoT เหล่านี้ก็จะเป็นตัวเร่งสร้างปริมาณการสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สายมากยิ่งขึ้น

 

 

  แนวโน้มประการที่ 12   พัฒนาการของการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ต่อผู้ใช้บริการ

 

 

          การใช้งานอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ Smart Phone และอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงของผู้บริโภคทั่วโลกกำลังจะเปลี่ยนไป จากรูปแบบเดิมๆ ที่ใช้มือสัมผัสหน้าจอ จับรีโมต หรือป้อนข้อมูลผ่านคีย์บอร์ด กำลังได้รับการยกระดับให้การสื่อสารกับอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ เป็นไปแบบธรรมชาติ เช่น สะบัดมือ กระพริบตา ส่ายหัว พนักหน้า ฯลฯ โดยอาศัยการตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวร่วมกันของบรรดาอุปกรณ์เซนเซอร์ต่างๆ ซึ่งโดยรวมเรียกเทคโนโลยีดังกล่าว Ambient User Interface หรือ (AUX) ความท้าทายของการสร้างรูปแบบให้บริการดังกล่าวมิได้อยู่ที่การออกแบบเซนเซอร์ หรือดึงข้อมูลจากเซนเซอร์มาทำการประมวลผลด้วยกันเท่านั้น หากแต่ยังอยู่ที่การออกแบบการทำงานของแอพพลิเคชันบน Smart Phone หรืออุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าวิศวกรซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ทั่วโลกจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์และแอพพลิเคชันเพื่อรองรับการตรวจจับรูปแบบการส่งสัญญาณของมนุษย์ ซึ่งยังรวมถึงการสั่งการผ่านทางเสียง โดยใช้เทคโนโลยี Voice Recognition เพื่อตรวจรู้การพูดและนำไปสู่การประมวลผลร่วมกับเซนเซอร์อื่นๆ และแอพพลิเคชัน ได้ในปี พ.ศ. 2559 

 

 

 

รูปที่ 21 ประสบการณ์ใหม่ของผู้บริโภคโดยอาศัยเทคโนโลยี Ambient User Interface

 

 

          สิ่งที่บริษัท Gartner มุ่งหวังว่าจะเกิดขึ้นเป็นโซลูชั่นใช้งานจริงในปี พ.ศ. 2559 ก็คือพัฒนาการของระบบ AUX ที่ก้าวหน้าถึงขึ้นที่สามารถตรวจจับและทำนายพฤติกรรมของผู้บริโภคเพื่อนำไปแปลผลสำหรับสั่งการควบคุมการทำงานของแอพพลิเคชันได้โดยที่ผู้ถูกตรวจจับไม่ทันรู้ตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการนำไปประยุกต์ใช้งานในหลายๆ วงการ เช่น การตรวจสอบผู้คนที่เดินเข้าห้างสรรพสินค้า การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้คนในแถวตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดปกติของนักเรียนในห้องสอบ ฯลฯ

 

 

  แนวโน้มประการที่ 13   เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ

 

 

          ปัจจุบันมูลค่าของเครื่องพิมพ์ 3 มิติมีราคาลดลงมามาก ประกอบกับคุณภาพของวัสดุที่นำมาใช้เป็นสร้างโมเดล 3 มิติก็มีความหลากหลายและสามารถนำไปใช้งานได้จริงในทางอุตสาหกรรมต่างๆ แม้กระทั่งบริษัทผลิตรถยนต์ใช้ไฟฟ้าอย่าง Tesla ก็มีการสร้างเครื่องยนต์ของรถยนต์ที่ตนผลิตด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งมีผลทำให้เกิดการปฏิบัติครั้งสำคัญในแง่ของการผลิต ซึ่งผู้บริโภคทั่วไปสามารถใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติในการสร้างอุปกรณ์ต้นแบบใดๆ ก็ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโรงงานเหล็ก โรงงานพลาสติก และยังสามารถผลิตสินค้าของตนออกมาได้แม้จะมีจำนวนน้อย โดยไม่มีความผิดเพี้ยนของขนาดและรูปทรงสำหรับสินค้าแต่ละชนิด สิ่งที่ตอกย้ำความน่าเชื่อถือและแม่นยำของเทคโนโลยีดังกล่าวก็คือการตัดสินใจของบริษัท SpaceX ที่จะผลิตชิ้นส่วนของจรวดที่จะส่งออกไปยังอวกาศของตนด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ บริษัทวิจัย Gartner เชื่อว่าการขยายความนิยมในการใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ จะเปิดกว้างต่อไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมชีววิทยาไปจนถึงอุตสาหกรรมอาหาร

 

 

 

รูปที่ 22 ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการพิมพ์และเครื่องพิมพ์ 3 มิติ

 

 

 

  แนวโน้มประการที่ 14   พัฒนาการด้านการเรียนรู้ด้วยตนเองของเครื่องจักรกล

 

  

          ความก้าวหน้าทางซอฟต์แวร์ที่ปัจจุบันไม่มีข้อจำกัดในด้านของฮาร์ดแวร์ใด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยความจำที่สามารถเพิ่มขยายได้มหาศาล แม้จะมีข้อจำกัดทางกายภาพ แต่ก็สามารถเชื่อมต่อเครื่องจักรผ่านเครือข่ายสื่อสารไร้สายเพื่อให้เข้าถึงหน่วยความจำและการประมวลผลแบบ Cloud Computing ความสามารถในการประมวลผลของซีพียูรุ่นใหม่ๆ และความก้าวหน้ารวมทั้งต้นทุนที่ถูกลงของอุปกรณ์เซนเซอร์ต่างๆ ทำให้วิศวกรสามารถพัฒนาความสามารถในการออกแบบคอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรกลต่างๆ ที่ต้องมีความสามารถในการประมวลผลในระดับที่สูง ให้ไปได้ไกลมากกว่าการทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ แต่สามารถทำให้ระบบคอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรนั้นๆ สามารถเรียนรู้ต่อยอดความรู้จากข้อมูลทั้งที่เก็บรวบรวมจากเซนเซอร์ที่ติดตั้งอยู่กับตนเอง รวมถึงข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) ที่มีการเก็บรวบรวมอยู่บนเครือข่าย Cloud Computing และมีการอัพเดตต่อยอดข้อมูลนั้นๆ อยู่แล้ว ด้วยเทคโนโลยี Data Analytic ที่เกิดขึ้นทุกๆ วินาที

 

 

 

รูปที่ 23 ความฉลาดของระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องจักรกลในการเรียนรู้ด้วยตนเอง

 

 

          ผลที่ตามมาก็คือความสามารถในการสร้างเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ที่สามารถเรียนรู้และทำงานหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องอาศัยการเก็บสะสมประสบการณ์ได้แทนมนุษย์ ตัวอย่างซึ่งเห็นได้ตั้งแต่ในปี พ.ศ.2558 ก็คือความสำเร็จของวิศวกรชาวจีนในการพัฒนาแขนหุ่นยนต์อัตโนมัติคู่หนึ่งที่สามารถทำงานประสานกันได้ร่วมกับระบบ Cloud Computing และการต่อยอดความรู้ ทำให้แขนกลคู่นี้สามารถทำอาหารได้หลายๆ ชนิด เช่นเดียวกับการใช้มือมนุษย์ในการปรุงอาหาร ซึ่งข้อดีก็คือการลดภาระของมนุษย์ลง และมนุษย์สามารถทำหน้าที่ควบคุมบริหารจัดการในภาพกว้าง

 

 

  แนวโน้มประการที่ 15   การทำงานแทนมนุษย์ด้วยเครื่องจักรกลหรืออุปกรณ์ต่างๆ

 

 

          เป็นการต่อยอดความก้าวหน้าของการเรียนรู้ด้วยตนเองของระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องจักรกลต่างๆ ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วในแนวโน้มประการที่ 14 ซึ่งเป็นการประยุกต์ไปใช้งานในอุตสาหกรรมหนักอื่นๆ เช่น รถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนไปตามเส้นทาง และสามารถเลือกเปลี่ยนเส้นทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้เองโดยอัตโนมัติ อาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างระบบเซนเซอร์การจราจร ระบบเซนเซอร์บอกตำแหน่งผ่านอุปกรณ์ GPS เซนเซอร์ตรวจสอบความเร็ว เซนเซอร์ตรวจสอบระยะประชิดของรถหรือวัตถุรอบคัน ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันได้มีการสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับทดสอบการเดินทางโดยอัตโนมัติของรถยนต์แล้วในพื้นที่ที่ชื่อว่า Masdar City ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต

 

 

 

รูปที่ 24 การขยายต่อขีดความสามารถด้านการเรียนรู้อัตโนมัติไปสู่การทำงานแทนมนุษย์ของเครื่องจักรหลายๆ ประเภท

  

 

          สิ่งที่จะเป็นการพัฒนาในขั้นตอนถัดไปก็คือการออกแบบให้รถยนต์สามารถทำงานได้แม้จะออกนอกสภาพแวดล้อมที่ได้รับการควบคุม กลายเป็นการขับขี่บนท้องถนนจริงที่อาจจะขาดระบบเซนเซอร์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆ อย่าง เพื่อให้รถยนต์เดินทางได้โดยปลอดภัย นอกเหนือจากอุตสาหกรรมรถยนต์แล้ว เทคโนโลยีไฮเทคนี้กำลังได้รับการนำไปใช้งานร่วมกับการควบคุมอากาศยานเช่นบรรดา Drone ต่างๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งเพื่อรับประกันความเที่ยงตรงและความปลอดภัย แน่นอนว่าหากเทคโนโลยีเหล่านี้มีการเติบโตจนสามารถเชื่อใจได้ก็ย่อมจะมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความสะดวกสบาย โอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ รวมถึงอาจเป็นการคุกคามความมั่นคงต่ออาชีพหลายๆ ประเภท

 

 

ทั้งหมดนี้ก็คือแนวโน้มของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีซึ่งจะประสานรวมไปกับกลไกทางด้านการตลาดและพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนทั่วโลกในปี พ.ศ. 2559 หลายๆ ประการเป็นสิ่งที่เริ่มต้นเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ในปัจจุบัน และไม่เป็นที่น่าสงสัยว่าเส้นทางของการพัฒนาจะเป็นเช่นใด ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณบอกเหตุต่อการปฏิบัติรูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์ทั่วโลกอีกครั้ง สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากก็คือการใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ ที่ถูกกลไกทั้งทางตลาดและทางเทคโนโลยีบีบให้เราจำเป็นต้องแสดงตัวตนบนโลก Social Network เพื่อใช้ชีวิต อาชีพหลายๆ ประเภทที่เป็นงานบริการที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะหรือพรสวรรค์พิเศษกำลังจะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ หลายๆ อาชีพก็ต้องสาบสูญไป อาทิเช่น อาชีพแจกใบปลิวโฆษณาซึ่งกลายเป็นสื่อที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ ในโลกออนไลน์ที่การเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงผ่านทาง Social Network หรือการท่องอินเทอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางที่สำคัญ

 

 

 

 

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 www.thailandindustry.com
Copyright (C) 2009 www.thailandindustry.com All rights reserved.

ขอสงวนสิทธิ์ ข้อมูล เนื้อหา บทความ และรูปภาพ (ในส่วนที่ทำขึ้นเอง) ทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ www.thailandindustry.com ห้ามมิให้บุคคลใด คัดลอก หรือ ทำสำเนา หรือ ดัดแปลง ข้อความหรือบทความใดๆ ของเว็บไซต์ หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด