Music Band Scoops

David Bowie : The Man Who Fell to Earth

ศิริพันธ์ เจริญรัถ

 

 

David Bowie :
The Man Who Fell to Earth

 

 

          นต้นปี 2016 ที่เพิ่งมาเยือน ได้ทำให้โลกดนตรีได้กล่าวคำอำลาให้กับ David Bowie ยอดศิลปินระดับตำนานดนตรี ที่สร้างผลงานดนตรีมานานถึง 4 ทศวรรษ ที่ได้จากไปในวัย 69 ปีด้วยโรคมะเร็ง ถึงแม้ว่าเขาจะมีวิธีในการทำให้ตัวเขาไม่มีการตก Trend ของดนตรีได้อย่างไม่น่าเชื่อมาจากปลายยุค 60 จนเข้ายุคปี 2000 จนปัจจุบันดนตรีและภาพหรือคาแรกเตอร์ของ David Bowie นั้นไม่เคยล้าสมัยและคงอยู่มาตลอดตั้งแต่ในช่วงที่ชอบทำตัวเป็นมนุษย์ต่างดาว (Ziggy Stardust) ในช่วงยุค 70 จนทำให้หลายๆ คนนึกว่าเขาเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาจากดาวดวงอื่นพลัดหลงตกมาสู่โลก และต่อมาก็เปลี่ยนเป็นชาวร็อกแบบเซอร์ๆ ในช่วงยุค 2000 และทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว มักจะมีสิ่งใหม่ๆ นำมาเสนอเสมอ แต่ในที่สุดสิ่งหนึ่งที่ David Bowie หลีกหนีไม่พ้นก็คือ วันและเวลา ที่ทำให้ทุกคนต้องหมดอายุขัยไปตามกำหนดนั่นเอง

 

 

          David Bowie นั้นเป็นศิลปินทางดนตรีที่มีอิทธิพลอย่างสูงคนหนึ่ง ต่อวงการเพลงและวัฒนธรรมทางดนตรี pop เขาสร้าง Trend และวัฒนธรรมทางดนตรีแบบแปลกใหม่เสมอไม่เคยหยุดนิ่ง และได้นำแฟชั่นการแต่งตัว มาผสมผสานให้กับการนำเสนอดนตรี ทำให้ผลงานเพลงของเขาเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น จนกลายเป็น Trend ต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจเสมอ เขามีชื่อที่ถูกเรียกหลายอย่างเช่น Thin White Duke จากลักษณะที่ผอมและตัวซีดขาวของตัวเขา และ Starman เพราะในตอนต้นๆ เขามักจะปรากฏตัวบนเวที แต่งตัวแบบมนุษย์ต่างดาวเสมอ และเพลง Space Oddity นั้นก็ถูกใช้เกี่ยวกับเรื่องของยานอวกาศเสมอ แม้กระทั่งในปี 2015 มนุษย์อวกาศชาวอเมริกัน คริส ฮาดฟิล์ด (Christ Hadfield) ก็นำเพลงนี้ไปร้องในขณะโคจรอยู่นอกโลกในสถานีอวกาศและถ่ายทอดสดไปทั่วโลก แนวดนตรีของ David Bowie นั้นหลากหลายมาก เริ่มต้นจาก Brit Pop มาเป็น Glem Rock ต่อมาก็เป็นแนว Soul, R&B และก็เปลี่ยนเป็น New Wave และ Dance และ Modern Rock จนไม่มีข้อจำกัดในแนวดนตรีของ David Bowie และก็ไม่ใช่เป็นแค่นักร้องธรรมดา เขามีความสามารถหลายด้านเป็น Singer, Songwriter, musician, producer, arranger, actor เรียกว่าครบทุกด้าน และอีกด้านทางแฟชั่นเขาก็มีอิทธิพลอย่างสูงเหมือนกัน เขาจะเปลี่ยนแปลงสไตล์ดนตรีและการแต่งตัวไปได้ตามยุคสมัยและหลายๆ ครั้งก็นำยุคสมัยแบบเรียกได้ว่าเขาได้สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ ให้กับวงการเพลง Pop เลยก็ว่าได้ และนอกจากดนตรี Pop แล้วเขาก็ได้สร้างสีสันใหม่ๆ ให้กับแนวดนตรีแบบ Folk Rock, hard Rock, Dance, Electronic, Pop เขามีอิทธิพลทางดนตรีอย่างมากแก่ศิลปินหลายๆ คนในปัจจุบัน ด้วยการที่ชอบคิดและทำอะไรที่นำสมัยและไม่ค่อยกลัวต่อการล้มเหลว ทำให้ David Bowie จึงเป็นที่สนใจทั้งในวงการเพลงและแฟชั่นอยู่เสมอ

 

 

          David Bowie นับว่าเป็นศิลปินที่ก้าวล้ำยุคเสมอ ในการที่เขาแต่งหน้า ย้อมผมสีจัดๆ แต่งตัวแวววาวใส่รองเท้าส้นสูง เขาก็เป็นคนริเริ่มคนแรกๆ ที่ต่อมาก็เป็นของปรกติของศิลปินร็อกที่จะแต่งตัวแบบที่เขาทำ และการเสนอภาพแบบสองเพศของเขา (Bisexual) ก็สร้างความตกตลึงต่อวงการเพลงในยุค 70 เพราะไม่มีศิลปินคนไหนกล้าที่จะออกมาเปิดเผยตัวมาก่อน ทั้งๆ ที่นักร้องและศิลปินวงร็อกดังๆ มากมายก็เป็นแบบเดียวกับเขา นอกจากเป็นศิลปินดนตรีแล้วเขาก็มีผลงานในการแสดงภาพยนตร์ในบทนำอีกหลายเรื่องเช่น The Man Who Fell to earth (1976), Just a Gigolo (1979). The hunger (1983), Merry Christmas Mr. Lawrence (1983) และ Labyrinth (1986) และก็ปรากฏตัวในภาพยนตร์อีกหลายสิบเรื่อง 

 

 

          David Bowie เริ่มเข้ามาในวงการเพลงและเป็นที่รู้จักต่อแฟนเพลงในช่วงกลางปี 1969 ด้วยเพลงเกี่ยวกับมนุษย์อวกาศในเพลง Space Oddity ขึ้นติดอันดับเพลงในอังกฤษ และเขาก็ตามออกมาด้วยอัลบั้มเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวในผลงานชุด The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spiders from Mars ที่นอกจากนำเรื่องราวที่แปลกแล้ว เขาก็มักจะแต่งตัวแบบล้ำยุคในการแสดงของเขา ด้วยสร้างความตื่น เต้นให้แก่แฟนเพลงร็อก และก็ได้สร้าง Trend ใหม่ให้แก่วงการร็อกที่เรียกว่า Glitter Rock และก็ทำให้วงดนตรีหลายๆ วงเริ่มแต่งตัวในการแสดง Concert มากขึ้น จนกลายเป็นของปรกติในยุคปัจจุบัน

 

 

          หลังจากสร้าง Trend ดนตรีใหม่ให้แก่วงการดนตรีแบบ British Rock แล้ว ในช่วงปี 1975 David Bowie เริ่มเข้ามาทำงานทางฝั่งอเมริกา โดยมีความชื่นชอบดนตรีแบบ Soul และ R&B อยู่แล้ว ก็เปลี่ยนแนวดนตรีของเขามาในแบบ R&B และ Soul ในแบบของชาวอเมริกันผิวดำและออกผลงานชุด Young Americans และมีเพลง Fame เป็นเพลงฮิต และหลังจากนั้นเขาก็เริ่มเข้ามาทำเพลงในแบบ experimental โดยการทดลองในแนวเพลง Electronic ร่วมกับนัก Synthesizer ชื่อดัง Brian Eno ในช่วงปี 77 เมื่อเข้ามาถึงยุค 90 ดนตรีแบบ Disco และ Dance เข้ามาครองตลาด ศิลปินจากยุค 70 ต่างก็จากหายกันไป แต่ชื่อสียง David Bowie ก็ยังอยู่อย่างทนทาน โดยมีผลงานออกมาสม่ำเสมอและก็ได้รับการต้อนรับจากแฟนเพลงทั้งเก่าและใหม่เป็นอย่างดี ด้วยเพลง Let’s Dance, China Girl, Modern Love และร้องคู่กับ Freddie แห่งวง Queen ในเพลง Under Pressure ทำให้ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลก ผลงานของเขาขายรวมแล้วได้มากถึง 196 ล้านอัลบั้มทั่วโลก และเมื่อทัศวรรษที่ 2000 เข้ามาถึง David Bowie ก็ไม่มีแววว่าจะแผ่วลงไป เขาได้รับเลือกจากนิตยสารทางดนตรีที่ดังที่สุดในโลก Rolling Stone ให้เป็นศิลปินในอันดับที่ 39 ของ 100 Greatest Artists of All Time

 

 

          David bowie มีผลงานอัลบั้มเพลงที่ขายรวมแล้วทั่วโลกถึง 140 ล้าน จากผลงานเพลงในห้องบันทึกเสียงที่ออกมา 25 ชุด ผลงานเพลงของ David bowie ถูกเลือกให้อยู่ใน 500 Greatest Albums of All time ของนิตยสารดนตรี Rolling Stone ถึง 5 อัลบั้มด้วยกัน และถูกเลือกให้เข้า rock and roll Hall of Fame ในปี 1996 เขาได้รับเลือกจากนิตยสารทางดนตรีที่ดังที่สุดในโลก Rolling Stone ให้เป็นศิลปินในอันดับที่ 39 ของ 100 Greatest Artists of All Time

 

ชีวประวัติ (Biography)

 

 

          ด้วย David Bowie นั้นมีอายุการทำงานดนตรีนานมาก เรียกว่าหลายทศวรรษเลยทีเดียว การนำเสนอชีวประวัติของเขาจึงจะแบ่งไปตามยุคสมัยไป David Bowie มีชื่อจริงว่า David Robert Jones เกิดที่เมือง Brixton ในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 8 มกราคม 1947 เขาเรียนชั้นมัธยมที่ Bromley Technical High School ที่มีเพื่อนที่ต่อมาเป็น Superstar อีกคนคือ Peter Frampton ตอนอายุ 15 ปีเขาถูกเพื่อนต่อยจนตาข้างซ้ายเกือบบอดเพราะเรื่องผู้หญิง ต้องหยุดเรียนไป 8 เดือน จนปัจจุบันเขามักจะมีปัญหาเรื่องตาบอดสี

 

          เขาเริ่มสนใจดนตรีเมื่ออายุ 9 ปีเมื่อเขาได้ยินเพลงจากแผ่นเสียงที่พ่อของเขานำมาจากอเมริกา ที่มีเพลงของ Fats Domino, Chuck Berry และ Little Richard หลังจากได้ยินดนตรีร็อกก็ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปทันที แต่ก่อนที่จะเล่นดนตรีร็อกเขาเอนเอียงไปสนใจดนตรีแจ๊ส จากพี่ชายของเขา และเริ่มเรียนและหัดเล่น Saxophone และตั้งวงดนตรีครั้งแรกเมื่อปี 1962 ชื่อวง The Konrads และก็เริ่มออกเล่นไปกับนักดนตรีหลายๆ วง ได้ออกผลงานกับวง The King Bees ในปี 1964 และเขาได้เริ่มเปลี่ยนแนวดนตรีของเขาจากแจ๊สมาเป็นบลูย์ 

 

 

          ในปี 1962 David Bowie ตั้งวงดนตรีวงแรกเมื่ออายุ 15 ปี โดยเป็นมือกีตาร์ใช้ชื่อวงว่า The Konrads และต่อมาก็ย้ายมาอยู่วง King Bees ออกผลงานเพลงแบบ single ชื่อ Liza James เมื่อไม่ประสพความสำเร็จก็ย้ายมาอยู่วงแนวบลูย์ชื่อ Manish Boys ออกผลงานเพลงแต่ก็ล้มเหลวอีกครั้ง จนมาได้ผู้จัดการส่วนตัวชื่อ Ralph Horton ที่บอกให้ David Bowie ออกผลงานแบบศิลปินเดี่ยวจะดีกว่า ในตอนแรก David Bowie ใช้ชื่อจริงของเขา Davie Jones ในการแสดง แต่ในตอนนั้นมีวง The Monkees ที่กำลังดังมากมีนักร้องนำชื่อ Davy Jones เหมือนกันเขาจึงต้องหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อจริงมาเป็น David Bowie โดยได้ชื่อนี้มาจาก Jim Bowie หนึ่งในผู้กล้าหาญจาก The Alamo ที่มักจะใช้มีดสั้นเล่มใหญ่เป็นอาวุธคู่กาย ออกผลงานอัลบั้มชื่อ David Bowie ในปี 1967 ที่ล้มเหลวอีกครั้ง ทำให้เขาหยุดออกผลงานอีกสองปีต่อมา

 

Space Oddity-Hunky Dory (1968-71)

 

 

          หลังจากพบกับความล้มเหลวมาหลายครั้งในการเสนอผลงานเพลง David Bowie ก็คิดวิธีที่จะเสนอผลงานเพลงให้หน้าสนใจมากขึ้นโดยมีเรื่องราวที่แปลกออกไป และได้มาเรียนการแสดงและเต้นที่ London Dance Center ในปี 1967 ในช่วงนี้ David Bowie ได้ร่วมแสดงบนเวทีแบบ Cabaret และในช่วงนี้เขาได้แต่งเพลง Space Oddity ที่ได้ความคิดมาจากภาพยนตร์เรื่อง 2001 : A space Odyssey ของ Stanley Kubrick โดยเขาจะใช้เพลงนี้เป็นผลงานเพื่อที่จะเสนอเข้าค่ายเพลงใหม่

 

          David Bowie ได้รู้รสแห่งความสำเร็จในปี1969 เมื่อแผ่น Single เพลง Space Oddity ออกสู่ตลาด ออกวางขายในวันที่ 11 กรกฎาคม 1969 ห่างกัน 5 วันจากวันที่ Apollo 11 ขึ้นสู่อวกาศ ผลงานเพลงนี้ขึ้นสู่อันดับสูงทันทีในอังกฤษ ทำให้ David Bowie ได้เกิดในวงการเพลงในที่ สุด  Space Oddity เป็นเพลงช้าที่ใช้กีตาร์โปร่งเล่นเป็น พื้นเล่าเรื่องถึงมนุษย์อวกาศชื่อ Major Tom ที่ติดอยู่บนยานอวกาศที่ไม่สามารถกลับมายังพื้นโลกได้ และเพลงนี้ได้ขึ้นสู่อันดับที่ 5 ในเกาะอังกฤษ ทำให้อัลบั้มที่ออกตามในชื่อเดียวกันได้รับการตอบรับที่ดี ดนตรีในชุดนี้ออกมาในแนว Folk Rock ที่ใช้กีตาร์โปร่งเล่นเป็นหลักเลยได้ชื่อแนวเพลงใหม่นี้ว่า Psychedelic folk ในตอนนี้ David Bowie เริ่มแต่งตัวและแต่งหน้าแบบแปลกๆ ทำให้เขายิ่งเป็นที่สนใจของแฟนเพลงมากขึ้น

 

 

          ผลงานชุดที่สอง The Man Who Sold The World ตามออกมาในปี 1970 แต่แนวดนตรีในชุดนี้ได้เปลี่ยนไปจาก Folk เป็น Hard Rock โดยใช้กีตาร์ไฟฟ้าเป็นหลักที่เล่นโดย Mick Ronson ที่ต่อมาได้กลายเป็นมือกีตาร์คู่ใจของ Bowie อยู่พักหนึ่ง และในปี 1971 ก็ตามมาด้วยอัล บั้มชุด Hunky Dory เขากลับมาใช้แนวเพลงในแบบ pop อีกครั้ง ผลงานก็ได้รับการยอมรับในเฉพาะแฟนเพลงบางกลุ่ม แต่ยังไม่ใช่ในแบบ Mainstream แต่เขาก็เริ่มมาถูกทางแล้ว และในผลงานชุดนี้ David bowie ก็ได้ทีมนักดนตรีที่ลงตัวที่สุดมาร่วมงาน ที่ต่อมาก็คือวง Spider From Mars ที่ร่วมกันสร้างความสำเร็จสูงสุดในปีต่อมา

 

Ziggy Stardust (1972-73)

  

 

          The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spider from mars (1972) เป็นผลงานที่ส่งให้ David Bowie ไต่ขึ้นถึงดวงดาวสำเร็จ ผลงานชุดนี้ออกมาในปี 1972 เป็นแบบ Concept Album หลายๆ เพลงในชุดนี้ได้กลายเป็นเพลง Classic Rock ไป เช่นเพลง Ziggy Stardust, Suffragette City และเมื่อเขาออกเดินสายแสดงสด ด้วยการแต่งตัวที่แหวกแนวพร้อมกับวงดนตรีของเขาที่เรียกว่า The Spiders from Mars ที่เป็นวงร็อกแบบสามชิ้นที่มี Mick Ronson นำวงก็ยิ่งส่งผลงานชุดนี้และตัวเขาให้ได้รับความนิยมทั่วโลก และกลายเป็นต้นแบบของแนวเพลงใหม่ที่มักจะเรียกกันว่า Glitter Rock ที่นักดนตรีจะใส่เสื้อผ้าที่วูบวาบไปด้วยสีแสงที่สวยงาม ในช่วงนี้เขาจะเรียกตัวเองว่า Ziggy ซึ่งเป็น Character ในผลงานอัลบั้มชุดนี้ และทุกครั้งที่ไปปรากฏตัวทั้งตัวเขาและวง Spider from Mars ก็จะแต่งตัวแบบว่ามาจากนอกโลกจริงๆ เป็นการสร้างภาพที่ทำให้พวกเขาเป็นข่าวที่น่าสนใจและแปลกตาอยู่เสมอ

 

 

          นอกจากทำผลงานเพลงของเขาจนโด่งดังแล้ว David Bowie ก็เริ่มทำงานในหน้าที่ของ Producer และแต่งเพลงให้ศิลปินอื่นๆ เช่น Lou Reeds ในชุด Transformer และ Iggy Pop ในชุด Raw Power โดยเขาสร้างทีม Production ขึ้นมาใช้ชื่อว่า MainMan Productions และวง Spiders From Mars ก็มารวมตัวกันอีกครั้งเพื่ออกผลงานของ David Bowie ในชุด Aladdin Sane ที่ขึ้นถึงอันดับหนึ่งในเกาะอังกฤษ เพลงในผลงานชุดนี้แต่งขึ้นมาในรถยนต์ เครื่องบิน รถไฟ ในช่วงที่เขาออกเดินสายแสดงไปทั่วอเมริกาในช่วง Ziggy Stardust tour หลังจากได้รับการตอบรับที่ดีจาก Aladdin Sane เขาก็นำทีมออกเดินสายอีกครั้ง ในครั้งนี้นอกจากร้องเพลงเขายังใช้การแสดงต่างๆ บนเวทีอีกด้วย เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจต่อแฟนเพลง และต่อมาวงดนตรีร็อกหลายๆ วง ก็เริ่มใช้การแสดงบนเวทีเข้ามาร่วมในการแสดง concert จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาในเวลาต่อมา และเมื่อจบการเดินสาย David Bowie ก็เชิญนักข่าวมาเพื่อแถลงว่า Ziggy (ชื่อเขาเรียกตัวเองในช่วงนี้) ได้ขอยุติการแสดงทั้งหมดที่เกี่ยวกับ Ziggy Stardust ซึ่งนับว่าเป็นการฉลาดอย่างยิ่งของ David Bowie ที่เขาใช้ Ziggy เป็น Character ในการแสดง เมื่อใช้จนคุ้มแล้วเขาก็สลัด Character นั้นทิ้งและสร้าง Character ใหม่ขึ้นมา อันเป็นส่วนที่ทำให้ David Bowie จึงดูไม่ตกสมัยเหมือนกับนักร้องวงร็อกหลายๆ คนที่ มาจากยุค 70 และเขาก็ได้รับฉายาว่าเป็น เจ้ากิ้งก่า (Chameleon) แห่งวงการเพลง เพราะเขาสามารถลอกคราบเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้เสมอ

 

 

          แต่ก่อนที่จะทิ้ง Image ของ Ziggy โดยสิ้นเชิง เขาได้ออกผลงานชุด Pin Ups ออกมาเป็นผลงานการนำเพลงที่เขาชอบเป็นส่วนตัวมา Covers และเพลง Sorrow ก็ไต่ถึงอันดับหนึ่งและได้รับความสำเร็จอย่างสูงอีกครั้ง ทำให้ David Bowie เป็นศิลปินร็อกที่ขายดีที่สุดในช่วงนี้ และผลงานชุดแรกและชุด The Man Who Sold The world  ละผลงานชุดแรกก็กลายเป็นขอหายากที่แฟนเพลงของเขาเสาะหามาครอบครองทำให้กลายเป็นอัลบั้มขายดีไปอีกชุดป็ยทุนแล้ว ถลอกคราบเพื่อเปลี่ยนก็กลายเป็นของหายากที่แฟนเพลงของ David Bowie เสาะหามาครอบครอง ทำให้กลายเป็นอัลบั้มขายดีไปอีกชุด สิ่งที่น่าเสียดายก็คือวง The Spiders From Mars ก็ต้องยุบวงไป เพราะเป็นวงดนตรีที่น่าสน ใจวงหนึ่งที่น่าจะรวมตัวกันออกผลงานเอง

 

The Thin White Duke (1974-76)

  

 

          เมื่อ Ziggy Stardust ปิดฉากไปแล้ว David Bowie ก็เริ่มฉากใหม่ของเขาทันที และก็เริ่มที่จะสร้าง Character ใหม่ให้กับตัวเขาในแบบ The Thin White Duke ทันที ในช่วงที่เขาออกแสดงในอเมริกา ก็ได้พบปะกับนักดนตรีชาวอเมริกันหลายๆ คน และด้วยการชอบดนตรีของชาวอเมริกันอยู่เป็นทุนแล้ว David Bowie จึงละทิ้งแนวเพลงแบบ British pop Rock หันมาสร้างผลงานแบบ Soul, R&B และเปลี่ยน Image ใหม่โดยแต่งตัวในชุดเสื้อนอกสีทึบแบบพวก Gangster จากยุคเก่าๆ ของอเมริกา และในปี 1974 ที่มีหน้าปกแผ่นเสียงที่มีรูปเขาที่มีท่อนล่างเป็นสุนัข เป็นผลงานแบบกึ่ง concept Album โดยเขามีแผนที่สร้างภาพยนตร์จากเนื้อเรื่องของ Diamond Dogs ด้วย แต่ด้วยเวลาที่หายากของเขาโครง การนี้จึงยกเลิกไป ดนตรีของ David Bowie ออกมาในแนวอเมริกันอย่างเต็มตัวและมีเพลง Rebel Rebel เป็นเพลงฮิต David Bowie และวงใหม่ของเขาก็ออกเดินสายทั่วอเมริกา โดยทั้งแสดงดนตรีและนำการแสดงแบบละคร Broadway มาผสม โดยเขาจ้าง Toni Brasil มาออกแบบท่าเต้นต่างๆ บนเวทีให้ด้วย และนำแสงสีที่ใช้ในละคร Broadway มาใช้ ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงมาก และเป็นการแสดงของวงดนตรีร็อกแบบที่ไม่มีใครเคยคิดทำมาก่อน

 

 

          ในการแสดงครั้งนี้ได้ทำการบันทึกเสียง และออกมาในผลงานการแสดงสดชุด David Live ที่ได้นำเพลง Soul เก่า ๆ Knock on Wood กลับมาติดอันดับอีกครั้ง แฟนเพลงเก่าๆ ยุค Ziggy Stardust ต่างก็ต้องปรับหูเพื่อฟังเพลงในแนวใหม่ของเขาที่ David Bowie เรียกว่า Plastic Soul และในปี 1975 เขาได้ออกผลงานชุด Young Americans ที่นับว่าเป็นการ Crossover ที่สำเร็จอย่างสูงของเขา เพราะผลงานชุดนี้ทำให้เขาก้าวขึ้นมาอยู่ในศิลปินแบบ Mainstream อย่างเต็มตัว โดยมีเพลงแบบ Funky แบบ Plastic Soul นำหน้าในเพลง Fame โดยมี John Lennon มาร่วมแต่งและร้องอยู่ข้างหลังด้วยในเพลงนี้ และผลงานชุด Station to station ก็ตามมาในปี 1976 และได้สร้างฉายาให้แก่เขาใหม่ว่า The Thin white Duke และในช่วงนี้เขาก็เริ่มก้าวเข้ามาในวงการภาพยนตร์ โดยแสดงนำในเรื่อง The Man Who Fell to Earth เขาเล่นเป็นมนุษย์ต่างดาว ที่ยานอวกาศมาตกบนโลก ในช่วงที่ชีวิตอยู่ในจุดสูงสุดนี้ David Bowie ได้หันมาใช้ยาเสพติดอย่างหนักโดยเฉพาะ Cocaine และก็เริ่มเข้ามาเป็นปัญหาในอาชีพของเขา

 

 

Modern Rock / Berlin Trilogy (1976-79)

 

 

          David Bowie ได้ไปเปิดการแสดงที่ประเทศเยอรมัน และเขารู้สึกชอบบรรยากาศและคนที่นั่น และต้องการใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ที่เขาทำไม่ได้ในอังกฤษหรืออเมริกา และการที่ Berlin หายาเสพติดได้ง่ายกว่าอยู่ในอเมริกา ทำให้เขาย้ายไปอยู่ที่ Berlin โดยมี Iggy Pop มาอยู่เป็นเพื่อน เขาใช้ชีวิตเงียบๆ ในช่วงนี้และบางครั้งก็ออกแสดงร่วมกับวงของ Iggy Pop ในฐานะมือ Keyboards จะมีผู้คนเห็น David Bowie มักจะขี่จักรยานไปทำงานที่ห้องบันทึกเสียงเสมอ และในช่วงนี้เขาก็ออกผลงานอัลบั้ม Low โดยมี Brian Eno มาร่วมงานเป็นแนวเพลงแบบ Electronic ที่ David Bowie กำลังทดลองหาแนวเพลงใหม่ของเขา ผลงานในช่วงที่เขาอาศัยอยู่ใน Berlin จะเรียกว่า Berlin Trilogy จะมีผลงานอยู่ 3 อัลบั้มคือ Low, Heroes, Lodger ในการทำงานที่ Berlin เขาได้ค้นพบวิธีการทำงานในห้องบันทึกเสียง ที่ทำให้ทำงานง่ายขึ้นโดยแบ่งเป็น 3 ขั้นคือ เริ่มต้น 5 วันแรกนักดนตรีก็เข้ามาพร้อมกันเพื่อทำ Rhythm track หรือ Basic Track และส่วนต่างๆ ที่ต้องใช้นักดนตรีเฉพาะกิจเล่น หลังจากนั้นก็จะเหลือ Eno หรือมือ Synthesizers ทำการ Overdub ส่วนต่างๆ และเมื่อ David Bowie เข้ามาใส่เสียงร้องก็จะเหลือแต่ Producer และ Sound Engineer เท่านั้น ทำให้คิวการทำงานไม่ยุ่งเหยิงและได้สมาธิในการทำงานที่ดี

 

 

          ในปี 1978 David Bowie เริ่มออกเดินสายการแสดงทั่วโลกอีกครั้ง และได้ทำการบันทึกการแสดงครั้งนี้ในชุด Stage ในปี 1980 เขาหย่าล้างกับภรรยา Angie และเลิกการใช้ยาเสพติด เขาออกผลงานชุด Scary Monsters 9 and Super Creeps) อันเป็นผลงานชุดสุดท้ายของค่ายเพลง RCA Records และได้ส่ง David Bowie ขึ้นสู่อันดับเพลงฮิตอีกครั้งด้วยเพลง Ashes to Ashes ผลงานในชุดนี้ลดแนวเพลงแบบทดลองไปทำให้เพลงฟังง่ายขึ้น และแฟนเพลงหลาย ๆ คนบอกว่านี่คือผลงานชุดที่ดีที่สุดของเขา

 

Disco Era (1980-89)

  

 

          ในช่วงยุค 80 ถึง 90 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Trend ดนตรีที่เคยมีกีตาร์ไฟฟ้านำ เครื่องดนตรีในแบบ Electronic เริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างสูง ทำให้ซาวด์ดนตรีเปลี่ยนไปและ Trend ดนตรีที่เหมาะสำหรับซาวด์แบบ Electronic คือ Disco กำลังเข้ามาแทนที่ดนตรีแบบร็อก วงดนตรีในช่วงนั้นก็ล้มวงกันไปเกือบหมด ทั้งที่หลายๆ วงก็พยายามเปลี่ยนแนวมาเป็นเพลง Dance แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ

 

          David Bowie ก็ทำการลอกคราบอีกครั้งกลายมาเป็นศิลปินแนว Dance ได้อย่างลงตัวโดยออกผลงาน Single ในเพลง Under Pressure กับ Freddie แห่งวง Queen และเพลงนี้ก็ขึ้นสู่อันดับ 1 อย่างง่ายดาย ส่งให้ David Bowie กลายเป็นศิลปินในแนวเพลง Dance และเขาก็ไม่รอช้าตอกย้ำอีกครั้งด้วยอัลบั้ม Let’s Dance ที่ได้เชิญ Nile Rogers ยอด producer มาร่วม Produce และเพลง Let’s Dance ก็กลาย เป็นเพลงฮิตสุดๆ เพลงหนึ่งของเพลงแนว Dance ในยุคนั้น David Bowie ก็รอดพ้นจากการตก Trend และยังคงเป็นศิลปินแนวหน้าต่อไปอีกทศวรรษหนึ่ง นอกจากเพลง Let’s Dance แล้วเพลง China girl และเพลง Modern Love ก็ดังไม่แพ้กัน ในผลงานชุดนี้ได้มีมือกีตาร์หน้าใหม่จาก Texas มาร่วมงานด้วยคือ Steve Ray Vaughan และก็นับว่าเป็นผลงานแจ้งเกิดให้เขาได้ก้าวเข้ามาวงการเพลง และเขาก็ตามมาด้วยอัล บั้ม Tonight ที่ได้เชิญ Tina Turner มาร่วมร้อง และหลายเพลงในผลงานชุดนี้เป็นเพลงเก่าที่นำมา cover ใหม่เพื่อออกมาตามน้ำอัลบั้มชุด Let’s dance แต่ผลงานชุดนี้ก็มีเพลงฮิต Blue Jean

 

 

          ในปี 1985 David Bowie ได้เข้าร่วมแสดงใน Live Aid และออกผลงานร่วมกับ Mick Jagger ในเพลง Dancing In the street ที่ขึ้นสู่อันดับ 1 อย่างสบาย และออกผลงานกับยอดมือกีตาร์แจ๊ส Pat Metheny ในเพลง This is Not America ซึ่งได้นำมาประกอบในภาพยนตร์เรื่อง Falcon and The Snowman

 

          ปี 1987 เขาออกผลงานชุด Never Let Me Down โดยแนวดนตรีได้กลับมาในแนว Hard Rock ที่กำลังจะกลับเข้ามาแทนดนตรีแบบ Dance และ Disco ที่กำลังจะตายจากไป ในผลงานชุดนี้ก็มีเพลงฮิตหลายเพลงเช่น Day In, Day Out, Time Will Crawl เขาไม่ค่อยพอใจในผลงานชุดนี้นัก ถึงแม้ว่าจะมียอดขายที่ดีเหมือนเดิม เขาออกเดินสายโดยใช้ชื่อการแสดงครั้งนี้ว่า The Glass Spider tour โดยมียอดมือกีตาร์เพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยม Peter Frampton มาเล่นกีตาร์ให้ เป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งที่ใช้ทุนสูงเพื่อการตอบรับ Stadium Rock trend ที่กำลังมาแรง ก่อนที่จะย่างเข้าทศวรรษใหม่ David Bowie ก็ได้นำแสดงในภาพยนตร์ของ Martin Scorsese ในเรื่อง The Last Temptation of Christ

 

Tin Machine (1989-91)

  

 

          เมื่อยุค 80 ก้าวเข้ามาพร้อมกับแนวดนตรีแบบ Alternative Rock ทำให้วงดนตรีแนวนี้เข้ามาครองตลาดเพลง David Bowie ต้องลอกคราบของศิลปินแนวเพลง Dance ทิ้งและเพื่อให้เข้า Trend ใหม่นี้อย่างเต็มตัว โดยเขาตั้งวงดนตรีโดยใช้ชื่อว่า Tin machine โดยมี Reeves Gabrels, Tony Seals และ Hunt Sales ร่วมเป็นสมาชิก เพราะในช่วงนี้แฟนเพลงนิยมผลงานของวงมากกว่าศิลปินเดี่ยว ออกผลงานชุดแรกก็ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้นสู่อันดับ 3 ที่เกาะอังกฤษ และวง Tin Machine ก็ออกแสดงสดทั่วโลก ถึงแม้จะได้รับความนิยมแต่ David bowie ไม่ค่อยพอใจแนวทางในการทำงานแบบวงดนตรีมากนัก ในการเป็นสมาชิกวง Tin Machine ต้องทำงานเป็นทีม แต่เขาชินกับการเป็นศิลปินเดี่ยวที่ความคิดใดๆ ของเขานั้นถือเป็นเอกฉันท์เสมอมา เมื่อมีสมาชิกหลายคนก็หลายความคิด เมื่อออกผลงานชุดที่สอง Tin Machine II กระแสความนิยมลดน้อยลง David Bowie ก็ทำการลอกคราบกับมาเป็นศิลปินเดี่ยวอีกครั้งทำให้วง Tin machine ต้องยุบไป

 

Electronica (1992-99)

  

 

          ในช่วงต้นยุค 90 มาถึง David Bowie ก็มีแฟนเพลงมากมายทั่วโลก และมีเพลงฮิตที่เหลือเฟือที่จะนำมาร้องหรือทำใหม่ใน Trend ดนตรีปัจจุบัน เขาเริ่มต้นด้วยการแสดงที่ Freddie Mercury Tribute Concert ในปี 1992 โดยร้องเพลง Heroes, Under Pressure กับ Annie Lennox และในปี 1993 ออกผลงานแนว Jazz ปน Hip-hop โดยมี Nile Rogers กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในอัลบั้มชื่อ Black Tie White Noise และในปี 1993 ในอัลบั้ม The Buddha of Suburbia

 

          ในปี 1995 David Bowie ออกเดินสายการแสดงร่วมกับ Nine Inch Nails ซึ่งนักร้องของวง Trent Reznor เป็นหนึ่งในศิลปินที่ยอมรับว่าเขาได้อิทธิพลทางดนตรีมาจาก David Bowie อย่างเต็มตัว โดยใช้ชื่อการแสดงในครั้งนี้ว่า Outside Tour

 

          ปี 1996 David Bowie ก็ได้รับเกียรติครั้งใหญ่ในชีวิตนักดนตรีอีกครั้ง เมื่อเขาได้รับเลือกให้เข้า Rock and Roll Hall of Fame ในปี 1997 เขาแสดง Concert ที่ Madison Square Garden เพื่อเป็นการฉลองอายุครบ 50 ปี โดยมีศิลปินมาร่วมแสดงหลายคน เช่น The Cure, Sonic Youth, Lou Reed, Frank Black

 

ช่วงสุดท้าย (2000-16)

  

 

          หลังจากผ่านพ้นยุค 70, 80, 90 จนมาถึงปี 2000 David Bowie ยังคงความเป็น Superstar ได้อย่างมั่นคง เขายังออกผลงานเพลงแบบเฉพาะกิจ เช่น Soundtrack และเพลงประกอบ Computer game 

 

          Bowie ยังคงร่วมงานกับ Producer คู่ใจที่เริ่มทำงานกับเขามาตั้งแต่ต้น Tony Visconti และร่วมออกผลงานอัลบั้มอีกในปี 2002 ในชื่อ Mercury Prize และเขาก็ยังออกปรากฏตัวตามการแสดงการกุศลใหญ่ๆ เสมอ และในปี 2003 ออกผลงานชุด Reality และออกเดินสายแสดงทั่วโลกอีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี แต่การแสดงในครั้งนี้ต้องหยุดก่อนกำหนดเมื่อ David Bowie เจ็บที่หน้าอก ทำให้ต้องเข้าพักผ่อนที่โรง พยาบาล และนายแพทย์บอกว่าเป็นแค่ Minor Heart Attack ต้องพักผ่อนมากๆ ทำให้ต้องยกเลิกการแสดงทั้งหมด และในปี 2005 David bowie กลับขึ้นเวทีอีกครั้งในการแสดงเฉพาะกิจ และในปี 2006 ได้รับรางวัล Grammy Lifetime Achievement Award 

 

 

          ปี 2006 หลังจากได้รับรางวัล Grammy Lifetime Achievement Award ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์  David Bowie ประกาศที่จะหยุดการทำงานด้านดนตรีชั่วคราว แต่ก็ยังมาปรากฏตัวที่ Royal Albert Hall ในการแสดงของ David Gilmour และร้องเพลง Comfortable Numb ในปี 2008 ที่เพิ่งมาถึง ในช่วงว่างไม่มีผลงานใหม่นี้ ค่ายเพลงก็เอาผลงานการแสดงสดจากปี 2003 มาออกเป็นผลงานอัลบั้มคู่ชื่อ A Reality Tour ออกวางขายในปี 2010 ช่วงนี้ David Bowie มักจะเก็บตัวเงียบๆ ที่ Apartment ของเขาใน New York

 

          ในวันที่ 8 มกราคม 2013 ตรงกับวันเกิดของ David Bowie ที่มีอายุได้ 66 ปี ผลงานชุด The Next Day ก็ออกประกาศว่าจะวางขายในวันที่ 12 มีนาคม เป็นผลงานอัลบั้มแรกของ David Bowie หลังจากหยุดทำผลงานมาถึง 10 ปี สร้างความแปลกใจให้กับแฟนเพลง เพราะต่างก็นึกว่า Bowie ได้เลิกราจากวงการไปแล้ว ผลงานชุดนี้ทำกันแบบเป็นความลับจากความต้องการของ Bowie โดยทางห้องบันทึกเสียงจะใช้พนัก งานเพียง 2 คนระหว่างการทำงาน แม้แต่ค่ายเพลงก็รู้เรื่องผลงานนี้ก่อนออกวางขายเพียง 2 วัน

 

BlackStar และการจากไป (2016)

  

 

          ในวันที่ 10 มกราคม 2016 สองวันจากวันเกิดอายุครบ 69 ของเขาและก็ออกผลงานชุด Blackstar มาได้ 2 วัน David Bowie ก็พ่ายแพ้ต่อโรคมะเร็งตับ (Liver Cancer) ที่เขาต่อสู้มานานปีกว่า เขาเสียชีวิตอย่างสงบท่ามกลางครอบครัวของเขา Tony Visconti ที่เป็น Producer ให้กับ David Bowie มาตั้งแต่ยุค 70 บอกว่า Bowie ทำงานดนตรีที่เขารักจนถึงวันสุดท้าย โดยมุ่งหวังที่จะสร้างผลงานชุด Blackstar ให้เป็นของขวัญแก่แฟนเพลงในการจากไปของเขา ผลงาน Blackstar ขึ้นสู่อันดับ 1 นับว่าเป็นผลงานเพลงชุดแรกของ David Bowie ที่ขึ้นถึงอันดับ 1

 

          ผลงานชุด Blackstar ทำงานกันแบบเงียบๆ ที่ห้องบันทึกเสียง Magic Shop และ Human Worldwide ใน New York ผลงานเพลงในชุดนี้หลายๆ เพลงมาจากชุด The Next Day เพราะใช้เวลาแต่งพร้อมๆ กันไป ดนตรีออกแนว Art rock และในการทำงานชุดนี้ David Bowie ก็รู้ตัวแล้วว่านี่คือผลงานชิ้นสุดท้ายของเขาที่จะเรียกกันว่า Swan song

 

 

          แฟนเพลงทั่วโลกได้รวมตัวทำพิธีไว้อาลัยให้กับ David Bowie เช่นที่บ้านเกิดของเขาในเมือง Brixton และที่ Los Angeles, New York และเมือง Berlin…

 

Discography :

 

        David Bowie มีผลงานเพลงที่ทำในห้องบันทึกเสียง 25 ชุด (ไม่นับชุดการบันทึกการแสดงสดและชุดรวมฮิต)

 

 

 

• David Bowie (1967)
• David Bowie (Space Oddity) (1969)
• The Man Who Sold the World (1970)
• Hunky Dory (1971)
• The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spiders from Mars (1972)
• Aladdin Sane (1973)
• Pin Ups (1973)
• Diamond Dogs (1974)
• Young Americans (1975)
• Station to Station (1976)
• Low (1977)
• "Heroes" (1977)
• Lodger (1979)
• Scary Monsters (And Super Creeps) (1980)
• Let's Dance (1983)
• Tonight (1984)
• Never Let Me Down (1987)
• Black Tie White Noise (1993)
• The Buddha of Suburbia (1993)
• Outside (1995)
• Earthling (1997)
• 'Hours...' (1999)
• Heathen (2002)
• Reality (2003)
• The Next Day (2013)
• Blackstar (2016)

  

 

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 www.thailandindustry.com
Copyright (C) 2009 www.thailandindustry.com All rights reserved.

ขอสงวนสิทธิ์ ข้อมูล เนื้อหา บทความ และรูปภาพ (ในส่วนที่ทำขึ้นเอง) ทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ www.thailandindustry.com ห้ามมิให้บุคคลใด คัดลอก หรือ ทำสำเนา หรือ ดัดแปลง ข้อความหรือบทความใดๆ ของเว็บไซต์ หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด