เนื้อหาวันที่ : 2018-03-23 14:07:10 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2022 views

ฟอร์ติเน็ตเปิดตัวไฟร์วอลล์ซีรีส์ FortiGate 6000F Series เร็วสุด ตอบรับกระแสเชื่อมต่อมัลติคลาวด์ ไอโอที และโมบายล์ดีไวซ์ในองค์กรขนาดใหญ่

ฟอร์ติเน็ตเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ไฟร์วอลล์เน็กซ์เจเนอเรชันซีรีส์ใหม่ “FortiGate 6000F Series” ทำงานเร็วกว่า 100 Gbps+ เร็วที่สุดในอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองเทรนด์ความต้องการใหม่ ๆ ขององค์กรระดับเอ็นเตอร์ไพร้ส์ที่ต้องการผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยเครือข่ายในระดับสูงขึ้น เพิ่มออปชันด้านอินเตอร์เฟซรองรับการเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายมัลติคลาวด์ การใช้อุปกรณ์โมบายล์และไอโอทีที่มีมากขึ้น รองรับข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสจำนวนมากมายเข้ามาในเครือข่ายองค์กร
ในปัจจุบันเครือข่ายองค์กรส่วนเอจ (EDGE) รองรับการใช้งานอุปกรณ์โมบายล์ เครือข่ายมัลติคลาวด์ และไอโอทีที่มีการเข้ารหัสข้อมูลมากขึ้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ต้องการใช้แบนด์วิดธ์สูงขึ้น มีทรูพุตสูงขึ้น รวมถึงความจุด้าน Session Capacity สูงขึ้น องค์กรจึงจำเป็นต้องพัฒนาเครือข่ายส่วน EDGE ให้มีความทันสมัยมีศักยภาพการทำงานให้สูงขึ้น
นอกจากนี้พื้นที่ที่อาจโดนภัยคุกคามประเภทดิจิทัลสามารถเกิดขึ้นได้กว้างขวางขึ้น ภัยมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงยิ่งทำให้องค์กรอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยที่ทันสมัยสามารถปรับให้เข้ากับความเร็วและขนาดของอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงเข้ามาในเครือข่ายให้บริหารจัดการได้ง่าย อุปกรณ์ตระกูล “FortiGate 6000F Series” ใหม่นี้สร้างขึ้นจากสถาปัตยกรรมฮาร์ดแวร์ยุคหน้าของฟอร์ติเน็ต ซึ่งรวมเอาการ์ดประมวลผลหลายซีพียูแบบแยกส่วน (Multi-CPU Processing Card) ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งานได้อย่างคล่องตัว มีสมรรถนะในขนาดกะทัดรัด สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ความเสถียร ความจุของอุปกรณ์ขนาดคอมแพคนี้ให้เป็นในระดับอุปกรณ์ที่มีแชสซี (Chassis) ได้อีกด้วย
FortiGate 6000F เป็นอุปกรณ์ไฟร์วอลล์เน็กซ์เจเนอเรชัน (NGFW) ที่ทำงานเร็วที่สุดในอุตสาหกรรม จากการทดสอบของรุ่น FortiGate 6300F  และ FortiGate 6500F ในการป้องกันภัยคุกคามและตรวจสอบ SSL ได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถรองรับข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสจำนวนมากมายที่เข้ามาในเครือข่ายองค์กรได้ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า FortiGate 6000F เป็นอุปกรณ์ไฟร์วอลล์เน็กซ์เจเนอเรชั่นที่ทำงานเร็วที่สุดในอุตสาหกรรม อีกทั้งยังช่วยยกระดับการเชื่อมต่อขององค์กร เพราะในอุปกรณ์มีอินเตอร์เฟซประเภท High Density zSFP+ และ QSFP28 เพื่อรองรับการเชื่อมต่อในระดับความเร็ว 10G, 40G, 100Gbps และ 25G Data Rates เพื่อความง่ายการขยายตัวของเครือข่ายในอนาคต
อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยโดยทั่วไปมักนิยมใช้สถาปัตยกรรมความปลอดภัยแบบเบลดโมดูลาร์ในแชสซี (Modular Security Chassis) แต่ฟอร์ติเน็ตสามารถพัฒนาการ์ดประมวลผลภายใน (Internal Processing Card) ขนาดกะทัดรัด ทำงานได้เท่าเทียบกับแบบเบลดโมดูลาร์ จึงนับว่าฟอร์ติเน็ตเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสถาปัตยกรรมฮาร์ดแวร์ยุคหน้ารายแรกในอุตสาหกรรมแรก โดยการ์ดประมวลผลแต่ละเครื่องประกอบด้วยซีพียู 12 คอร์หลักหลายตัว (Multiple 12-core CPUs) มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลด้านความปลอดภัย (Security Processing Units: SPUs) หน่วยประมวลผลสำหรับคอนเทนต์ Content Processors (CP9) หน่วยประมวลผลสำหรับการทำงานเครือข่าย Network Processors (NP6) แยกออกจากกัน ทั้งนี้ กลุ่ม FortiGate 6000F Series สามารถรองรับการ์ดประมวลผลได้ถึง 10 ชุดในอุปกรณ์ที่มีขนาด 3U
การออกแบบใช้การ์ดประมวลผลภายในที่เป็นนวัตกรรมใหม่จะช่วยให้สามารถใช้สมรรถนะด้านความปลอดภัยเทียมเท่ากับแบบแชสซีแบบดั้งเดิมได้
เช่น มีความยืดหยุ่นสูง และมีช่วงเซสชันสูง ในขณะที่ยังให้ความเร็วในการทำงานด้านรักษาความปลอดภัยขั้นสูงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอุปกรณ์ขนาดคอมแพ็ค รวมถึงการใช้ฟีเจอร์โหลดบาลานซ์ของฮาร์ดแวร์โดยใช้ตัวประมวลผลการแจกจ่ายแบบกำหนดเองใหม่ (Distribution Processors: DP3) ที่กำหนดโหลดงานได้อีกด้วย

ปาสคาล ปัวโร รองประธานฝ่ายกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัย บริษัท ePlus กล่าวว่า "คอมพิวเตอร์ในระบบคลาวด์กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่ช่องว่างในการป้องกันอาจเกิดขึ้นได้หากโซลูชันด้านความปลอดภัยไม่สามารถทันกับสภาพแวดล้อมแบบคลาวด์ของรัฐเอกชนและไฮบริดได้อย่างคล่องตัว การเติบโตของ IoT และ Mobility ยังทำให้ความต้องการขนาดใหญ่เกี่ยวกับประสิทธิภาพและสถาปัตยกรรมด้านความปลอดภัย เนื่องจากข้อมูลจะไปถึงจุดหล่านี้ ePlus ได้ตระหนักถึงเทรนด์นี้และได้ลงทุนอย่างมากในการจัดหาโซลูชันด้านความปลอดภัยที่ครบถ้วนเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับฟอร์ติเน็ต ยกระดับแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งให้มีขนาดและรักษาสภาพแวดล้อมแบบแปรผันเหล่านี้ได้"